
คุณสมบัติผู้บริหาร หรือ หัวหน้างาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ คนอยากทำงานด้วย เป็นคุณลักษณะพิเศษที่ทำให้ผู้นำกับผู้ตามแตกต่างกัน คุณเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนหรือไม่ “งานที่ทำอยู่ก็ยังสนุก เพื่อนร่วมงานก็แสนดีช่วยเหลือกัน บริษัทก็อยู่ใกล้บ้าน และที่สำคัญ เงินเดือนก็ถือว่าใช้ได้
แต่ตอนนี้เบื่อ หมดกำลังใจไม่อยากทำงานที่นี่ต่อไปแล้ว” ผมไม่แน่ใจว่าเดาถูกหรือไม่ แต่ในความเห็นส่วนตัวเชื่อว่ามากกว่า 70% ของท่านที่อ่านข้อความนี้ ครั้งหนึ่งของชีวิตการทำงานอาจเคยประสบกับสภาวะอารมณ์ที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วแทบไม่อยากคิดเลยว่าเป็นเช้าของวันทำงานอีกแล้ว
ด ว ง ต า ที่อ่อนแรง หัวใจที่เหนื่อยล้า และหมดพลังที่จะฉุดให้ลุกขึ้นจากที่นอนอันแสนนุ่มแล้วมาพบกับ “บุคคลปริศนา” ผู้ที่กุมความลับ ถึงสาเหตุของการหมดกำลังใจในการทำงาน แน่นอนครับเป็นใครไปไม่ได้ เขาคือ บุคคลที่เราเรียกว่า หัวหน้า เจ้านาย ผู้บริหารหรือ Boss ของเรานั่นเอง …
ตอนนี้ใบหน้าของใครคนหนึ่ง ที่ปรากฎขึ้นมาในหัวท่าน ไม่ต้องกระซิบบอกคนข้างๆครับ เอาเป็นว่าลองอ่านบทความนี้ให้จบ อาจมีรอยยิ้มเล็กๆปรากฎขึ้น บนใบหน้าของท่าน พร้อมกับเสียงรำพึงรำพันบอกกับตัวเองว่า ฉันน่าจะหยิบบทความนี้ไปวางใกล้ๆ โต๊ะทำงานของเขาคนนั้นเสียจริง
เผื่อจะได้เปิดอ่านและฉุกคิดอะไรได้บ้างคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหาร หรือ เจ้านายคนได้ ย่อมต้องมีคุณสมบัติผู้บริหาร ที่ข้อดีจุดเด่นพอสมควร ความจริงข้อนี้ไม่ควรถูกปฏิเสธ แต่โลกเบื้องหน้าที่เราทุกคนพบไม่ได้สวยหรูแบบที่ควรเป็น ข้อดีที่ผู้บริหารของท่านคนนั้นอาจมีอยู่อย่างมากมาย
กลับถูกบดบังด้วยพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่น่าอภิรมย์สำหรับคนที่ต้องทำงานด้วย โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกน้องซึ่งต้องรับผลกระทบโดยทางตรงและทางอ้อมจากพฤติกรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นพฤติกรรมของผู้บริหารยอด แ ย่ ไม่ได้อยู่ดีๆแล้วเกิดขึ้น แต่เป็นการสะสมความ แ ย่ มานานหลายปี
จนกลายเป็นความชำนาญ กลายเป็นนิสัย ผมเลยอยากขอเปรียบเทียบพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นเสมือน “ช่าง” ผู้มีความชำนาญเฉพาะด้านยากที่ใครจะเลียนแบบได้ ซึ่งพฤติกรรมยอด แ ย่ ของเหล่าผู้บริหารที่ผมอยากหนีให้ห่างมี 4 ช่างดังนี้
คุณสมบัติผู้บริหาร ยอด แ ย่
ช่างปัด (เอาดีใส่ตัว เอา ชั่ ว ให้คนอื่น)
ความผิดผลาดที่เกิดขึ้น ในการทำงานเป็นเรื่องปกติ ผิดเพราะไม่รู้ ผิดเพราะเข้าใจคลาดเคลื่อน ผิดเพราะคาดไม่ถึง ผิดเพราะประมาท มีหลากหลายปัจจัยที่หลอมรวมกัน แล้วทำให้วันทำงานวันนั้นของท่านมืดมนลง จนรู้สึกว่าตนเองช่างไร้คุณค่า ไร้ประโยชน์สำหรับสถานที่ทำงานแห่งนี้
และสิ่งเดียวที่พอจะบรรเทา ความรู้สึกดำดิ่งของพนักงานได้อย่างเห็นผลที่สุด คือ การที่มีผู้บริหารและหัวหน้าที่กล้ายืดอกอย่างสง่าผ่าเผย ออกมายืนนำหน้าหรืออย่างน้อยก็อยู่เคียงข้างลูกน้อง พร้อมกับกล่าวออกมาว่า “ผมขอรับผิดชอบในความผิดพลาดครั้งนี้เอง ในฐานะหัวหน้าที่ดูแลลูกน้องได้ไม่ดีเพียงพอ”
คุณเชื่อไหมครับ พลังอำนาจของคำพูดเพียงเท่านี้ ทำให้หัวใจอันแห้งเหี่ยวของลูกน้องซึ่งกำลังเสียขวัญ จากผลงานที่ไม่เป็นไปตามคาด การถูกเพื่อนร่วมงานตำหนิ ถูกลูกค้าต่อว่า กลับมามีพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะลุกขึ้นมาฮึดสู้เพื่อพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้น
และไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิม เขาคนนั้นจะกลายเป็นคนที่พร้อมรับฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของท่านซึ่งจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน เพราะท่านได้กุมหัวใจของเขาเสียสิ้นแล้ว
โชคไม่ดีครับ เราหาคนที่มีคุณสมบัติผู้บริหารแบบนี้ ได้จำนวนน้อยเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนองค์กรที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ในทางกลับกันเราสามารถพบเจอผู้บริหารหรือหัวหน้าที่พร้อมจะปัดเรื่องไม่ดีออกจากตัวให้คนอื่น โทษแต่คนอื่น
โดยเฉพาะคนที่โทษแล้วไม่ค่อยมีปากมีเสียงโต้ตอบสักเท่าไหร่นั่นก็คือ ลูกน้องของตนเอง ผู้บริหารแบบนี้พร้อมที่จะรับแต่เรื่องที่มีคุณประโยชน์ ได้หน้าได้ตากับตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ผมเชื่อว่าคุณคงต้องมีสักครั้งในชีวิต ที่ต้องทำงานร่วมกับคนเช่นนี้
พอผลงานสำเร็จ ได้รับคำชมเชย ก็เอาไปอ้าง เอาไปนำเสนอโดยบอกว่าตนเองเป็นคนทำ ไม่เคยให้เครดิต หรือ อ้างถึงทีมงานที่อดหลับอดนอนทำให้เลย แต่ถ้าถูกตำหนิขึ้นมาเมื่อไหร่
รับรองได้ว่าพนักงานคงนั่งหนาวๆร้อนๆ กันไปเป็นแถบเจอแบบนี้บ่อยครั้ง วันหลังถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีพนักงานคนไหนอยากทำงานทุ่มเทให้อีกแล้ว
ช่างโยน ขี้เกียจและชอบเอาเปรียบ
ผู้บริหารบางท่านทำตัว เหมือนยุ่งทั้งวัน ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เพราะได้มอบ (หัวหน้าเรียก) หรือโยนงาน (ลูกน้องคิด) ให้กับลูกน้องไปหมดแล้ว ทั้งที่งานมีเยอะแยะมากมาย แต่ผู้บริหารแบบนี้ยังคงมาทำงานสาย แต่สามารถกลับบ้านก่อนได้อย่างเป็นปกติสุข
ในขณะที่ลูกน้องนั่งทำโอทีกันดึกดื่น ผมเคยเจอพนักงานทีมหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้ผู้บริหารแบบนี้ หน้าตาแต่ละคนเริ่มจะคล้ายหมีแพนด้า เข้าไปทุกที พอหันกลับไปที่เจ้านายผมเจอกับบุรุษผู้มีใบหน้าอิ่มเอิบ อ้วนถ้วนสมบูรณ์ สุ ข ภ า พ แข็งแรงเพราะสามารถกลับบ้านไปออกกำลังกายได้ทุกเย็น
ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกสงสาร เวลานึกถึงหน้าพนักงานแต่ละคนที่สายตาละห้อยยามเห็นหัวหน้าของพวกเขาเดินออกจาก office ไปอย่างสบายอารมณ์ในขณะที่พวกเขายังคงไม่สามารถลุกกลับบ้านได้ทั้งที่ล่วงเลยเวลาเลิกงานปกติมานานแล้ว
ประเด็นที่สำคัญของเรื่องนี้ คือ การมอบหมายงานกับโยนงาน ถูกเอามาใช้อย่างผสมปนเป ทำให้ความหมายผิดเพี้ยนไปอย่างกู่ไม่กลับ และผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
การมอบหมายงาน คือ การมอบหมายภารกิจหรืองานโดยคำนึงถึง
1. ความสามารถของคนรับ
2. เวลาที่เพียงพอในการทำงานนั้นให้สำเร็จ
3. ความเต็มใจที่จะรับมอบงานนั้น
หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป เราคงไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าสิ่งนั้น คือ การมอบหมายงานการโยนงาน คือ การให้ภารกิจหรืองานที่คำนึงถึงความสะดวกสบายของคนโยน มากกว่าปัจจัยทั้ง 3 ข้อด้านบนที่คำนึงถึงคนรับ สิ่งที่น่าเศร้าก็ คือ หัวหน้าที่ชอบโยนงานก็ไม่ใช่คน โ ง่ ที่จะโยนงานไปให้กับลูกน้องที่ไม่รู้ประสีประสา
หรือ ทำงานไม่ได้เรื่อง พวกเขามักโยนงานที่ตนเองควรทำในบทบาทหน้าที่ของผู้บริหารหรือหัวหน้าให้กับพนักงานที่คิดว่าสามารถช่วยทำให้งานนั้นสำเร็จ เขาจะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลใจ คอยตรวจสอบงาน จะได้เอาเวลาไปทำภารกิจส่วนตัว
เช่น ไปหาซื้อของใช้ให้กับภรรยา พาหมาไปตัดขน พาลูกไปว่ายน้ำไหนๆ ก็โยนงานให้แล้ว ก็เอาเป็นว่าโยนให้หมดทุกอย่างเลยก็แล้วกัน สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพนักงานที่มีความสามารถสูง ก็คือ คนไหนทำได้ก็ใช้แต่คนนั้น ยิ่งถูกโยนงานให้ทำทุกอย่าง เพราะมีความคล่องแคล่ว มีความสามารถ
และคนกลุ่มนี้ทำงานเร็ว แต่เมื่อโดนโยนงานให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นคนเก่ง แต่หากต้องทำทุกอย่าง ทั้งงานที่สำคัญ งานไม่สำคัญ และงานไร้สาระ สุดท้ายก็หมดแรง ท้ายที่สุดก็ท้อ แล้วก็ลาออกไปที่อื่น เพราะจะไปสอดคล้องกับข้อที่ 1 คือ ทำให้ ต า ย ก็ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองเป็นคนทำ
เพราะหัวหน้าเอาดีเข้าตัวไปเรียบร้อยแล้วสุดท้ายเมื่อคนเก่งลาออก ก็เหลือแต่พวกขี้เกียจอยู่ด้วยกัน แล้วก็สรรหาคนเก่งจากที่อื่นมารับกรรมต่อไปเรื่อยๆ
ช่างเหยียบ ชอบดูถูก และไม่ให้เกียรติผู้อื่น
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังรู้สึกว่าตัวเอง สูงส่งเกินกว่าคนอื่น ทั้งจากชาติตระกูล ฐานะ การศึกษา ระดับของหมู่บ้าน ยี่ห้อรถยนต์ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า และอีกมากมายที่คนใช้ตัดสิน คุณค่าระหว่างกัน แน่นอนที่เราไม่สามารถห้ามความรู้สึกเหล่านั้นได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์
ผู้ชื่นชอบการเปรียบเทียบตัวเองกับสิ่งต่างๆที่รายล้อมอยู่รอบตัวตลอดเวลา แต่สิ่งที่เราสามารถห้ามได้ดีกว่าความรู้สึก คือ การแสดงออกทั้งด้วยท่าทาง สายตา กิริยา วาจาหรือ คำพูดไม่ให้แสดงอาการดูถูกหรือเหยียบย่ำคนอื่น แม้ว่าเขาหรือใครคนนั้นจะมีฐานะ ตำแหน่ง
หรือเงินเดือนในบริษัทที่ต่ำต้อยกว่าท่าน ทุกคนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและพร้อมที่จะปกป้องสิ่งเหล่านี้อย่างถึงที่สุด มนุษย์เราอยากเป็นคนสำคัญ สำหรับผมเป็นเรื่องที่แน่แปลกใจอย่างยิ่ง ที่คุณสมบัติผู้บริหารเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
หลักสูตรการฝึกอบรมด้านการสื่อสาร การบริหารทีมงานก็มีอยู่มากมายที่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ ผู้บริหารเกือบทุกคนก็เคยผ่านการอบรมในหลักสูตรเหล่านั้น แต่ทำไมไม่เอาแนวคิด เทคนิคที่เรียนมาปรับใช้ในการสื่อสารกับลูกน้องหรือทีมงานผู้บริหารบางคนใช้คำพูดที่ รุ น แ ร ง มากในการตำหนิลูกน้อง
จนผมไม่สามารถพิมพ์ออกมาได้ แต่เชื่อว่าคุณพอจะนึกออกว่ามีคำอะไรบ้าง ตำหนิกันในห้องเงียบๆอยู่กันสองคน รู้กันแค่นี้ก็ เ จ็ บ แ ส บ ป ว ด ใจมากพอแล้ว ยังมีหัวหน้าที่ไม่เข้าท่าชอบด่าประจานลูกน้องของตนต่อหน้าคนอื่น โดยเฉพาะในที่ประชุม เพื่อแสดงความมีอำนาจบาทใหญ่
และ/หรือเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตนเองไม่น่าเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับการศึกษา หรือ ฐานะทางเศรษฐกิจ ต่อให้เก่งแค่ไหน รวยแค่ไหน ถ้าชอบเหยียบย่ำดูถูก ทำ ร้ า ย ทำ ล า ย น้ำใจคน แบบนี้ก็ไม่น่าทำงานด้วย
ที่ทนอยู่ทุกวันนี้เพราะไม่มีที่ไป อย่าให้พนักงานของท่านต้องอยู่ทำงานกับท่านด้วยเหตุผลว่าไม่มีที่ไปเลย อยู่กันไปด้วยบรรยากาศของการไม่ให้เกียรติกัน สุดท้ายก็เสียความรู้สึก เสียมิตรภาพ และเสีย สุ ข ภ า พ จิต
ช่างรีด จ้องแต่จะรีดผลงาน
แม้หลายคนจะเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุด ของการทำงาน คือ ผลงานอันยอดเยี่ยม แต่ชีวิตการทำงานคงน่าเบื่ออย่างมากหากต้องถูกหัวหน้ารีดเอาแต่ผลงานอยู่ทุกวัน โดยไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของลูกน้อง บางองค์กรทุกเช้าตอน 6.00 น. จะต้องมีข้อความผ่านทางโปรแกรม L i n e เข้าไปที่กรุ๊ปของทีมงาน
เพื่อที่จะถามว่าวันนี้จะหาลูกค้าใหม่ได้กี่ราย จะทำเป้าหมายได้เท่าไหร่ ฟังดูก็เหมือนกับจะดีครับที่มีหัวหน้ามุ่งมั่น พยายาม ก ร ะ ตุ้ น ให้ลูกน้องกระตือรือร้นต่อเป้าหมาย แต่สิ่งที่หัวหน้าเหล่านั้นลืมไปก็คือ คนมีหัวใจ มีความรู้สึก และคนอยากได้รับการสนับสนุนดูแล
ควบคู่ไปด้วยการจะทำให้ลูกน้องทำงานประสบความสำเร็จ จึงไม่เพียงแค่จ้องแต่จะกดดันเอาผลงาน ทั้งรีดทั้งเค้นศักยภาพของลูกน้องออกมาให้เร็วและมากที่สุด เพราะการทำแบบนั้นยิ่งทำให้ลูกน้องหมดกำลังใจ เ ค รี ย ด ท้อ ไม่อยากลุกขึ้นมาเปิดมือถือเวลาที่ท่านส่งข้อความไป
และก็เอาหัวหน้าไปนินทาว่าเห็นพวกเขาเป็นแรงงานทาสหรือไงถึงโลกยุคใหม่จะเป็นโลกที่ต้องอาศัยความไวในการแข่งขัน ผู้ที่เร็วกว่าคนอื่นถึงจะมีโอกาสสำเร็จ มากกว่าคนอื่น แต่นั่นไม่ได้รับประกันว่า โอกาสล้มเหลวจะน้อยกว่าคนอื่นตามไปด้วย บางครั้งเร็วเกินไป หนักเกินไป
ก็อาจผิดพลาดได้มากพอๆกับโอกาสสำเร็จ ผมยังเชื่อว่ายังคงเป็นจริงในเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง สำเร็จทุกอย่าง” คำกล่าวนี้ไม่ได้แปลว่าคุณต้องช้ากว่าคนอื่น แต่หมายถึงคุณต้องทำอย่างมีสติ
ดูจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงผมมักกล่าวย้ำอยู่เสมอว่า ยิ่งงานยากงานหนักเท่าไหร่ คนเป็นหัวหน้ายิ่งต้องลงแรงมากเท่านั้น ถ้าอยากได้ผลงานจากลูกน้อง ผมอยากเสนอให้ท่านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
และวิธีการบริหารทีมงานจากการ “กดดัน” เป็นการ “สนับสนุน” คือ หาวิธีส่งเสริม และสร้างแรงจูงใจ ให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกอยากที่จะลงมือทำงานอย่างกระตือรือร้นด้วยตัวของเขาเอง
สรุป
ฟังดูเหมือนเป็นทฤษฎีในตำรา แต่เชื่อผมเถอะ มันใช้ได้ Work จริง ไม่อย่างนั้นธุรกิจเครือข่ายจำนวนมากคงไม่สามารถดึงดูดผู้คนมากหน้าหลายตาจากวงการต่างๆ เข้ามาช่วยพวกเขาขยายธุรกิจ โดยที่บริษัทไม่ต้องจ่ายเงินเดือนให้กับคนเหล่านั้นสักบาทเดียว
แต่คนที่เข้ามาในเครือข่ายของเขากลับกระตือรือร้นแบบชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นในองค์กรที่ตัวเองทำอยู่มาเป็น 10 ปีเลย จากที่กล่าวมาเพียงแค่คุณสมบัติผู้บริหารยอด แ ย่ ทั้ง 4 ข้อนี้ หากมีในสำนักงานหรือองค์กรของท่าน ก็เดาได้ไม่ยากเลย
ว่าบรรยากาศในการทำงานจะเป็นแบบไหน เราไม่ชอบพฤติกรรม แบบไหนของเจ้านาย วันหนึ่งมีโอกาสเป็นหัวหน้าคนก็อย่าไปทำพฤติกรรมแบบนั้นซะเองนะครับ
ขอขอบคุณ n o p p o l