
ข้อที่ 1 – คนรวยเชื่อว่า ฉันเป็นคนลิขิตชีวิตของตนเอง
คุณอาจจะเคยเห็นคนรวย ซื้อล็อตเตอรี่บ้าง เป็นบางครั้งบางคราว และบางทีก็เห็นซื้อเป็นปึ๊ก ๆ นับสิบใบ ซึ่งพวกเขาซื้อเพื่อความสนุก และความบันเทิงเท่านั้น เพราะหากไม่ถูกรางวัลก็ไม่ได้มีผลกระทบกับคุณภาพชีวิต
ณ ตอนนี้ แต่นั่นมันต่างกันลิบลับกับคนทั่วไป ที่ซื้อล็อตเตอรี่ เพื่อที่จะหวังว่าตรูต้องรวยแน่ ๆ หากถูกรางวัลที่ 1 ฉันจะซื้อบ้าน ซื้อรถ ไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งเอาเข้าจริง การที่ใครสักคนหนึ่ง จะถูกรางวัลที่ 1 นั้น มีโอกาสที่จะถูกน้อยมาก ๆ ซึ่งมีโอกาสเพียง 0.0001% เท่านั้น
ซึ่งหากคุณต้องการ ที่จะถูกรางวัลที่ 1 แบบ 100% นั่นก็คือ คุณจะต้องซื้อล็อตเตอรี่จำนวน 1 ล้านใบ! หรือคิดเป็นเงิน 80 ล้าน ซึ่งคุณมีโอกาสที่จะได้รางวัลที่ 1 มูลค่า 6 ล้านบาทอย่างแน่นอน แต่ในขณะที่คนรวยนั้นพวกเขาเชื่อว่าการที่พวกเขาจะมีบ้าน มีรถ ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ
มีเงินเก็บเป็นล้านได้นั้น พวกเขาจะต้องสร้างให้มันเป็นจริงขึ้นมา ให้ได้ด้วยลำแข้งของตนเองให้ถึงที่สุด และข่าวดีก็คือ มหาเศรษฐีบนโลกใบนี้กว่าร้อยละ 80 เป็นคนที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเอง โดยไม่ได้รวยมาจากมรดกตกทอดด้วยซ้ำ
ข้อที่ 2 – คนรวยคิดว่าการเกิดมาจนนั้นไม่ผิด แต่ผิดแน่ ๆ หากคุณ ต า ย ทั้ง ๆ ที่ยังจนอยู่
คนที่ยังไม่รวย หลายคนมีทัศนคติ ที่ไม่ค่อยดีกับเงินสักเท่าไหร่นัก เช่น คนรวยเป็นคนเห็นแก่ตัวคนรวยเป็นคนเล ว คนรวยเป็นคนแล้งน้ำใจ เงินทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนชั่ วร้ าย เงินเป็นสิ่งที่หากใครมีแล้วจะกลายเป็นคนไม่ดี ซึ่งการคิดแบบนี้ไม่ช่วยให้คุณรวยขึ้นมาได้เลย
เพราะเปรียบง่าย ๆ ว่า หากคุณบ่นไม่ชอบหมาแมว แน่นอนว่าคุณก็จะไม่เลี้ยงพวกมันหรือพวกมันก็จะไม่เข้าใกล้คุณ เช่นกัน หากคุณ เกลี ย ด เงินหรือมีทัศคติที่ไม่ดีกับเงิน พวกมันก็จะไม่เข้าใกล้คุณเช่นกัน
จริง ๆ แล้ว เงินนั้น เปรียบเสมือนเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่จะช่วยให้คน ๆ นั้น สามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเงินมันไปอยู่ในมือของคนไม่ดีคนนั้น ๆ ก็จะทำสิ่งชั่ วร้ าย ที่มีผลกระทบต่อผู้คนอย่างมากมาย
แต่ในขณะที่หากเงินนั้น ไปอยู่มือของคนดีพวกเขาก็จะสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับโลกนี้ได้อย่างมากมายมหาศาล เช่นกัน ดังนั้นคุณจะสังเกตเห็นได้ว่า เงินเปรียบเสมือนเป็นเครื่องขยายเสียงต่างหาก ส่วนจะดีจะชั่ วนั้น มันอยู่ที่ตัวบุคคล
ข้อที่ 3 – คนรวยเป็นคนที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา
คุณคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ใครก็ตามที่ทำตัวเป็น น้ำเต็มแก้ว พวกเขาจะไม่สามารถพัฒนาหรือเติบโตได้อีกต่อไปแล้ว เพราะพวกเขาคิดว่าตนเองนั้นรู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วบนโลกใบนี้ ในโลกนี้ฉันเก่งที่สุด เจ๋งที่สุด ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว
แต่ในขณะที่คนรวยนั้น ทำตัวเองให้เป็นนำครึ่งแก้วเพื่อรองรับความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ พวกเขาเก่งในเรื่องของ การถามและการฟังเพราะเมื่อเริ่มต้น ด้วยคำถามที่ดี คุณจะได้คำตอบที่ดีเสมอ และการรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการที่เก่งแต่พูดแล้วไม่ฟังใครเลย
ในโลกนี้เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า คนรุ่นใหม่ ๆ ย่อมเก่งกว่าคนรุ่นเก่า ๆ อยู่เสมอ อย่าได้ดูแคลนพวกเขา แต่จงเรียนรู้จากพวกเขา แล้วนำเอามาปรับใช้กับชีวิตเราให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
ข้อที่ 4 – คนรวยโฟกัสที่การลงทุน ไม่ใช่การออมเงิน
คุณคงเคยได้ยิน เรื่องราวที่ว่า หากไม่กินกาแฟราคาแพงเลยตลอดชีวิต คุณอาจจะมีเงินเก็บเป็นล้าน ซึ่งคุณอาจจะแก่เกินไป จนไม่มีโอกาสได้ใช้เงินก้อนนี้ หรือเงินก้อนนี้ในอนาคตนั้นโดนเงินเฟ้อเล่นงานซะจนมูลค่าลดฮวบจริงอยู่ว่า การออมเงินเป็นเรื่องที่ดีแต่หากตอนนี้คุณยังไม่รวย
นั่นแสดงว่า คุณไม่ได้มีปัญหาในการออมเงิน แต่คุณกำลังมีปัญหาในการหาเงินต่างหาก เพราะถ้าคุณยังมีรายได้น้อย ๆ อยู่ ต่อให้คุณออมเงิน เดือนละ 99% มันก็ไม่ทำให้คุณรวยขึ้นมาได้
ดังนั้น หากยังไม่รวย จงโฟกัสไปที่การสร้างรายได้ก่อนแล้วจากนั้น ให้ศึกษาเรื่องการออมเงินและการใช้เงินแล้วหลังจากนั้น จงนำเงินไปลงทุนเพื่อให้มันงอกเงยขึ้น
ข้อที่ 5 – เมื่อล้มเหลว คนรวยจะไม่กล่าวโทษคนอื่น พวกเขาจะรับความล้มเหลวนั้นเอาไว้เอง
คุณคงเคยได้ยิน เรื่องทำนองที่ว่า เมื่อเกิดเรื่องอะไรแ ย่ ๆ คนเรานั้น สามารถโทษทุกสิ่งทุกอย่าง บนโลกใบนี้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็น โทษเพื่อน โทษพ่อแม่พี่น้องโทษเพื่อนร่วมงาน โทษหัวหน้า โทษหมาแมว โทษฝนฟ้าอากาศ
แม้แต่โทษในเรื่องนอกโลกอย่างดวงดาว โชคชะตา ก็ยังโทษได้แต่สิ่งเดียวที่จะไม่โทษก็คือ “ตัวเอง”นั่นทำให้ เมื่อเกิดเรื่องร้ ายๆ ขึ้นมา หากเราไม่เห็นว่าตัวเองผิด เราก็จะไม่ทำการพัฒนาตนเองให้มันดี เพราะคิว่าตนเองดีอยู่แล้วแต่คนอื่นต่างหากที่ไม่ดี
ดังนั้น สิ่งที่คนรวยทำก็คือ พวกเขานั่งคิด วิเคราะห์ แยกแยะว่าเพราะอะไร ทำไมจึงเกิดเรื่องผิดพลาดล้มเหลว ขึ้นมาได้ แล้วจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร ต้องทำอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ าย ๆ ซ้ำขึ้นอีก
ข้อที่ 6 – รายได้ของคนรวยมาจากผลลัพธ์ที่สร้างขึ้น
ในระบบการศึกษาเราถูกสั่งสอน มาให้เรียนจบสูง ๆ แล้วหางานดี ๆ ทำ เพื่อที่จะได้เงินเดือนสูง ๆ แต่หากใครที่เข้าสู่การทำงานประจำ มาแล้วจะพบว่า ในหลาย ๆ ครั้ง แม้ว่าเราจะทุ่มเท ขยัน เหน็ดเหนื่อย ห ลั่ ง เ ลื อ ด มากแค่ไหนก็ตาม คุณก็ยังคงได้เงินเดือนเท่าเดิมอยู่ดี
แต่ในขณะที่คนรวยนั้น ได้ค่าตอบแทนตามผลลัพธ์ที่พวกเขาสร้างผลกระทบขึ้นต่อผู้อื่น ยิ่งส่งผลกระทบในด้านบวก แก่ผู้คนได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะได้รายรับมากเท่านั้น ซึ่งในฐานะที่คุณเป็นพนักงานออฟฟิศก็สามารถทำได้ ไม่จำกัดที่การเป็นผู้ประกอบการเพียงอย่างเดียว
เช่น ในตำแหน่งนักขาย ที่มีทั้งเงินเดือน และค่าคอมมิชชั่น ซึ่งนักขายโดยปกติแล้ว จะได้เงินเดือนน้อยมาก เพื่อเป็นกลไกผลักดันให้นักขายนั้น ต้องขายของให้ได้เยอะที่สุด และค่าคอมมิชชั่น หรือส่วนแบ่งที่ได้จากการขายนั้น จะมีมูลค่าที่สูงกว่าปกติเป็นเป็นแรงจูงใจให้นักขายมุมานะ ในการทำยอดขายให้ได้สูงๆ
ในส่วนของผู้ประกอบการนั้น หลายคนหลงผิด คิดว่า สินค้าหรือบริการที่ตนเองสร้างขึ้นมานั้น จะนำพาให้รวยขึ้นมาได้ แต่เมื่อป้อนผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด กลับพบว่า ไม่มีใครซื้อเลยหรือซื้อน้อยมากแล้วก็จะมานั่งบ่นมา ของเราดีขนาดนี้ ทำไมคนไม่ซื้อ เป็นเพราะผู้คนแต่ละคน
โดยธรรมชาติ นั้น พวกเขาสนใจแต่ตัวเองเท่านั้น เขาไม่สนหรอกว่า คุณจะผลิตสินค้าได้ดีแค่ไหน พวกเขาแค่สนใจว่า สินค้าหรือบริการนั้น สามารถช่วยให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้ยังไงหรือช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาได้ยังไงต่างหาก
ดังนั้น ยิ่งคุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้คนได้มากเท่าไหร่ รายได้คุณก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
ข้อที่ 7 – คนรวยชอบอ่านหนังสือ
สิ่งที่จะดึงดูดเวลา ให้คุณไม่มีเวลาไปอ่านหนังสือ ก็คือการรับชมภาพยนตร์ ทีวีซีรี่ย์ ที่หากเผลอดูไปแล้วบอกได้คำเดียวว่า “ยาวววว” ซึ่งนั่นมันจะดูดเวลาในชีวิต คุณให้หายไป จนทำให้ไม่มีเวลาไปทำในสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญกว่าอย่างเช่น การหาความรู้เพิ่มเติมในสายอาชีพของคุณ
หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่จะนำพาชีวิตของคุณไปสู่เส้นทางที่ดี ขึ้นคำถามสำคัญก็คือมีหนังสือกี่เล่มที่คุณอ่านไปแล้วในปีนี้? ดังนั้น จงเชื่อเถอะว่าคนธรรมดา ๆ อย่างเรา ๆ ก็สามารถเป็นคนรวยได้เช่นกัน
ขอขอบคุณ b l u e o c l o c k