Home ข้อคิด การสร้างฐานะตัวเอง..ให้กลายเป็น “เศรษฐี” ทำอย่างไรได้บ้าง

การสร้างฐานะตัวเอง..ให้กลายเป็น “เศรษฐี” ทำอย่างไรได้บ้าง

23 second read
0
0
440

นิยามของคนรวย คือคนที่มีทรัพย์สิน มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 30 ล้านบาท

แล้วเราจะเป็นคนรวยได้อย่างไร?

จากงานวิจัยของคุณ T h o m a s C. C o r l e y ที่สัมภาษณ์เศรษฐี 233 คน พบว่าเราสามารถสร้างฐานะให้เป็นเศรษฐีได้ 3 วิธีครับ

1. นักออม

โดยจากงานวิจัย เศรษฐีประมาณ 22% สร้างฐานะของตนเองจากการประหยัดอดออมและลงทุน

โดยออมเงินไม่น้อยกว่า 20% ของรายได้ กลุ่มนี้ใช้เวลาออมและลงทุนจนเป็นเศรษฐีภายในเวลา 32 ปี

โดยมีทรัพย์สิน 3.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 100 ล้านบาท

2. ผู้เชี่ยวชาญ

โดยจากกงานวิจัย มีเศรษฐีแบบนี้อยู่ 28% ครับ ซึ่งคนกลุ่มนี้คือคนที่พัฒนาตัวเองจนเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งเป็นอันดับต้นๆ ของวงการ

และมักอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่ได้ผลตอบแทนสูงมากหรือเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก ที่มุ่งมั่นและประสบความสำเร็จในธุรกิจ

คนกลุ่มนี้ ใช้เวลาสะสมความมั่งคั่ง 20 ปีโดยประมาณจนมีความมั่งคั่ง 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 120 ล้านบาท

3. นักล่าฝัน

มีสัดส่วนประมาณ 51% เป็นผู้มีความฝันที่อยากทำอะไรบางอย่างและสามารถเปลี่ยนความฝัน หรือสิ่งที่ตัวเองรัก ให้กลายเป็นธุรกิจจริงๆ ได้

กลุ่มนี้ใช้เวลา 12 ปี ในการสะสมความมั่งคั่ง 7.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 220 ล้านบาท ซึ่งเดี๋ยวนี้อาจจะเป็นการสร้างบริษัท S t a r t u p แล้วขยายธุรกิจ

จนสามารถเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ หรือว่ามีบริษัทใหญ่มาซื้อกิจการต่อนั่นเอง

จากงานวิจัยจะเห็นได้ว่าเราสามารถเป็นเศรษฐีได้จากหลายวิธี

แต่ว่าอาจจะมีคนส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะเป็นเศรษฐีจากการเป็นนักล่าฝันหรือผู้เชี่ยวชาญ

เพราะว่าตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมีอยู่อย่างจำกัด การสร้างกิจการ SME ก็ต้องทุ่มเทและใช้เวลาค่อนข้างนาน

ส่วนการเป็นนักล่าฝัน นั้นก็มีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยกว่า ถึงแม้ว่าถ้าทำสำเร็จจะเป็นคนกลุ่มที่รวยที่สุดก็ตาม

ดังนั้นในความเห็นของผม พวกเราในฐานะมนุษย์เงินเดือนหรือว่าคนทำงานทั่วไปสามารถเป็นเศรษฐีได้จากการเป็นนักออมครับ

โดยตัวอย่าง ของคนกลุ่มนี้ในบ้านเราก็มีให้เห็นมากมาย แต่ว่าการจะมั่งคั่งถึงขนาดระดับ 100 -1,000 ล้านอย่างนักลงทุน VI (ที่มี พ อ ร์ ต ใหญ่ๆ) ก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ในเรื่องการเงินการลงทุน การตลาด กลยุทธ์ธุรกิจ สภาวะในอุตสาหกรรมที่ลงทุนอยู่และการประเมินมูลค่าหุ้น

ซึ่งก็ค่อนข้างที่จะต้องใช้ความพยายามทุ่มเทในการแสวงหา และวิเคราะห์ข้อมูลจนรู้จักบริษัทเป็นอย่างดีไม่ต่างไปจากเจ้าของกิจการเลยทีเดียว การลงทุนแบบนี้อาจจะทำผลตอบแทนได้ 15-25% ต่อปีโดยประมาณ เส้นทางนี้จึงอาจจะเหมาะกับคนที่ตั้งใจจริงๆ มากกว่าครับ

แต่สำหรับใคร ที่ต้องการจะเก็บเงินเพื่อการเกษียณ โดยต้องการเงินประมาณ 10-20 ล้านบาทตอนเกษียณ เราอาจจะสามารถทำได้โดยไม่ยากจนเกินไป โดยการลงทุนผ่านกองทุนรวมและมีการบริหาร พ อ ร์ ต อย่างเหมาะสม

สมมติว่าเราออมเงินเดือนละ 8,000 บาท โดยมีระยะเวลาการออม 30 ปี และมีผลตอบแทน ทบต้นโดยเฉลี่ยที่ 8% ต่อปี ในปีสุดท้ายเราจะมีทรัพย์สินขนาด 11 ล้านบาท ซึ่งถ้าเทียบกับเงินลงทุนประมาณ 2.8 ล้านบาท

นับว่าการลงทุนสามารถ ช่วยเพิ่มมูลค่าเงินออมของเราได้ถึงเกือบ4 เท่าทีเดียว (ถ้าอยากรู้ว่าลงทุนกี่ปีจะมีเงินเพิ่ม1 เท่า สามารถติดตามได้จากบทความ ลงทุนกี่ปีถึงจะมีเงินเพิ่มเท่าหนึ่ง? ค้นหาคำตอบด้วย “กฎแห่งเวลา”)

ถ้าเราทำงาน ไปเรื่อยๆ และได้เลื่อนตำแหน่งได้เงินเดือน ได้โบนัสเพิ่ม เราก็แบ่งเงินส่วนนี้มาเพื่อออมเพิ่ม เราอาจจะถึงเป้าหมายการเกษียณได้เร็วขึ้น อีกโดยอาจจะใช้เวลาลดลงถึง 5 ปีทีเดียวครับ

นอกจากนี้การที่เราสนใจการลงทุนยังทำให้เรามีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจ และธุรกิจของบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย

ซึ่งบางส่วนเราอาจจะนำมาใช้พัฒนาการทำงานของเราได้สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นเศรษฐีแบบไหนหรือจะเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนในที่สุด

คุณก็ต้องเกษียณจากการทำงาน ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวัยเกษียณโดยเริ่มการออมตั้งแต่วันนี้ จึงเป็นสิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง

เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เงินของคุณเพิ่มมูลค่าได้มากที่สุดคือ อัตราผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและระยะเวลาที่ยาวนานครับ

ขอขอบคุณ f i n n o m e n a

Load More Related Articles
Load More By wansuk
Load More In ข้อคิด

Check Also

เจ้านาย 8 แบบนี้ ที่ไม่ควรเป็นหัวหน้าคน

1.เจ้านาย ทรงอำนาจ เจ้านายประเภทนี้ จะดีแต่ออกคำสั่ง มักแสดงพฤติกรรม การใช้อำนาจขณะทำงานหร…