Home ข้อคิด (ข้อคิดดีมาก) แม้จะหาเงินเท่าไหร่ แต่ทำไมไม่เคยพอใช้สักที

(ข้อคิดดีมาก) แม้จะหาเงินเท่าไหร่ แต่ทำไมไม่เคยพอใช้สักที

8 second read
0
0
41

พูดกันติดปากตั้งแต่วัยทำงาน จนถึงวัยเกษียณ ว่าหาเงินมาจ่ายออกหมด หาเงินได้เท่าไหร่ก็ไม่พอจ่าย

หาเงินมาไม่ทันได้ใช้ หาเงินมาได้ก็ไม่เคยมีเงินเก็บ คนทำงานทุกคนต่างต้องการเงินเดือนสูงๆ รายได้เยอะๆ กันทั้งนั้น

อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ได้เงินเดือน ที่พอใช้จ่ายตลอดเดือน เหลือเก็บบ้างเล็กน้อยก็ยังดีแต่สภาพสังคมปัจจุบัน

ชีวิตของคนทำงาน มีสิ่งที่ทำให้ต้องเสียเงิน เสียค่าใช้จ่ายค่ามากขึ้นซึ่งแม้จะเป็นรายจ่ายที่สำคัญ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนแปลง หรือลดรายจ่ายไม่ได้ เช่น ค่าผ่อนชำระบั ต ร เ ค ร ดิ ต ขั้นต่ำในแต่ละเดือน

ค่าผ่อนสินค้า ค่าบริการโทรศัพท์มือถือค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเสริมสวย-ซื้อเครื่องสำอาง ค่าใช้บริการฟิตเนส

ค่าน้ำมันรถรายจ่ายเหล่านี้ เป็นการจ่ายเพื่อสิ่งที่ ‘อาจไม่จำเป็นต้องมี ต้องทำ หรือต้องเป็น’

แต่ก็ยังดีกว่ารายจ่ายในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เช่น ค่าเ ห ล้ า ค่าบุ ห รี่ ค่า ห ว ย

หรือค่าใช้จ่ายสำหรับ อ บ า ย มุ ข ต่างๆ เงินเดือนเท่าไหร่จึงจะพอกับความต้องการจึงเป็นปัญหาโลกแตก

สำหรับคนทำงานหลายคน มีรายได้มากกว่าตอนเริ่มต้นทำงาน แต่ก็ยังไม่พอใช้จ่าย ไม่พอใช้หนี้

ลองมองย้อนกลับไปในอดีต หากเราไม่ก่อหนี้ โดยเฉพาะหนี้บั ต ร เ ค ร ดิ ต เพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการอย่างง่ายๆ

ป่านนี้คงมีเงินเก็บมากมาย หากคนทำงานอย่างคุณ จ่าย ค่ า เ ห ล้ า ค่ า บุ ห รี่ ในแต่ละวัน

เท่าค่าใช้จ่ายประจำวันโดยเฉพาะค่าข้าวถ้า ง ด เ ห ล้ า ง ด บุ ห รี่ ในแต่ละเดือนจะเหลือเงินค่าข้าวเป็นสองเท่าเลยทีเดียว!

หากคุณมีรายได้หลักพัน หรือหลักหมื่นต้นๆ แต่ซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับราคาแพงใส่ไปทำงาน

ใช้โทรศัพท์มือถือ เครื่องละหลายหมื่นที่ยังต้องผ่อน ดื่มกาแฟแก้วละเกือบร้อยแม้จะเป็นความสุขของคนทำงาน

ที่ถือเป็นการให้รางวัลตัวเอง จากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยแต่ความทุกข์ที่ต้องจ่าย

หรือเป็นหนี้จะตามมาในภายหลังพฤติกรรม และการใช้ชีวิตเช่นนี้ ส่งผลให้คนทำงานส่วนใหญ่มีหนี้สิน

แม้แต่คนที่ทำงานได้เงินเดือนสูง แต่บริหารรายได้ของตนเองไม่ดีก็ไม่เหลือเงินเก็บ

เพราะส่วนมากได้เงินเยอะ ก็ใช้เยอะตามไปด้วยนี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความอยากได้อยากมีของคน

ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนเป็นเด็ก คุณอาจจะคิดว่ามีเงินแค่ 1 ล้านบาท ก็ถือว่ารวยแล้ว

แต่เมื่อโตขึ้นมาเงิน 1 ล้านบาทอาจจะ เป็นเงินจำนวนที่น้อยมากในสายตาคุณนั่นก็เพราะกิเลสไม่มีที่สิ้นสุด

ยิ่งคนเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ กิเลสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตาม‘สภาพและฐานะนุรูปที่คุณต้องสร้างภาพให้ปรากฏแก่สังคม’

ดังนั้นถึงจะมีเท่าไรก็ไม่พอใช้ เพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้นลองพิจารณาดูว่าในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน

คุณอาจมีรายได้แค่หลักพันหรือหลักหมื่นต้นๆ จากรายได้ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในหนึ่งหนึ่งเดือน

เมื่อคุณมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆรายได้ก็เกิดการไม่พอใช้ ต้องหมุนเงินเดือนชนเดือน

หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่มคิดว่าถ้ามีเงินเดือนสามหมื่นบาทก็คงพอค่าใช้จ่าย อยู่ได้สบายๆ

แต่เมื่อเงินเดือนคุณถึงสามหมื่นเมื่อไหร่ก็กลับเข้าสู่พฤติกรรมเดิม เงินสามหมื่นที่คิดว่าพอ

สุดท้าย ก็ไม่พออยู่ดีจากที่เคยคิดว่า ‘ใช้เท่าไหร่ก็ยังไม่พอ’ พยายามเปลี่ยนมาเป็น ‘อยากเก็บออมให้ได้เยอะที่สุดจนรู้สึกว่าออมเท่าไหร่ก็ยังออมไม่พอ’

หรือ สร้างหนี้ได้ แต่ต้องเป็น ‘หนี้เพื่ออนาคต’ออมเงินกับประกันชีวิต และฝากเงินกับธนาคาร จะได้สบายตอนแก่

หรือมีเงินเก็บไว้ใช้ หากเกิดเหตุการณ์ ฉุ ก เ ฉิ น หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นประเมินรายจ่ายจากเงินเดือนหรือรายรับอื่นๆ ก่อนเสมอ

เพื่อจัดสรรเงินเดือนเป็นส่วนๆ คิดว่าควรจ่ายอะไรเท่าไหร่บ้าง จะได้รู้ว่าที่จ่ายไปแต่ละเดือนจนไม่เหลือกินเหลือเก็บ

นั้นรายจ่ายส่วนใด ที่ไม่มีความจำเป็น ก็ค่อยๆ ตัดออกไป เรียกง่ายๆว่า ใช้จ่ายอย่างประหยัดหากเก็บออม 1 ปี ได้ สัก 8 หมื่น

เก็บออมได้ 3 ปี เป็น 2 แสน 4 หมื่น ระหว่างนั่นอาจจะไปฝากธนาคารลงทุนก็จะมีเงินเก็บเพิ่มได้

แม้ในอนาคตข้าว ของเครื่องใช้จะขึ้นราคา คุณก็ไม่เดือดร้อนอะไรถ้าเทียบกับคนที่ทำงานมา 3 ปีเท่ากัน

แต่ไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียวที่สำคัญ คุณจะมีเงินสำรองนอนนิ่งๆ ไว้ใช้ได้ยาม ฉุ ก เ ฉิ น เช่น ยาม เ จ็ บ ป่ ว ย

หรือเกิด อุ บั ติ เ ห ตุ ที่ทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป

ขอขอบคุณ m o n e y h u b . i n . t h

Load More Related Articles
Load More By wansuk
Load More In ข้อคิด

Check Also

เจ้านาย 8 แบบนี้ ที่ไม่ควรเป็นหัวหน้าคน

1.เจ้านาย ทรงอำนาจ เจ้านายประเภทนี้ จะดีแต่ออกคำสั่ง มักแสดงพฤติกรรม การใช้อำนาจขณะทำงานหร…