1. คุณเข้าใจธุรกิจรึเปล่า?
ไม่เพียงแต่ เราต้องรู้ว่าธุรกิจนั้นทำงานยังไง แต่ต้องทราบด้วยว่ามันมอบอะไรที่ ‘มีคุณค่า’ ให้กับลูกค้าบ้าง
ต้องสามารถมองเห็นได้ว่าอีก 10 ปีต่อจากนี้บริษัทจะไปทางไหน (ถ้ามากกว่านั้นได้ยิ่งดี)
บั ฟ เ ฟ ต ต์ กล่าวว่า “ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะถือหุ้นไว้ 10 ปี ไม่ต้องคิดแม้แต่จะถือไว้ 10 นาทีเลยด้วยซ้ำ”
หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า B e r k s h i r e H a t h a w a y บริษัทโ ฮ ล ดิ ง ของ บั ฟ เ ฟ ต ต์
พลาดโอกาสในการลงทุนใน G o o g l e และ A m a z o n ในช่วงต้น ๆ ของยุค 2000
เพราะตัว บั ฟ เ ฟ ต ต์ เองไม่เข้าใจธุรกิจเหล่านั้น จึงไม่ได้ตัดสินใจที่จะเข้าไปลงทุนและไม่รู้เลยว่า
ในระยะยาว แล้วกำไรจะออกมาเป็นยังไงบ้าง จึงทำให้ยากในการคำนวณมูลค่าของหุ้น
และบริษัทเมื่อไม่เข้าใจ เขาก็ไม่ลงทุน สั้น ๆ แค่นั้น แม้หลายคนจะมองว่าเป็นการเสียโอกาส
แต่เราจะมองว่า เป็นการเดินหมากที่เน้นปลอดภัยก็ได้เช่นเดียวกัน
เพราะอย่าลืมว่ากฎข้อที่ 1 ของการลงทุนของ บั ฟ เ ฟ ต ต์ คือ “อย่าขาดทุน”
2. ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนรึเปล่า?
สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในระยะยาวคือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน โดย บั ฟ เ ฟ ต ต์ เปรียบเทียบเหมือนกับการมีคูเมืองล้อมรอบปราสาทที่เป็นตัวธุรกิจ
ป้องกันคู่แข่งที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรม ยิ่งมีคูเมืองที่แข็งแกร่ง ยิ่งทำให้คู่แข่ง เข้ามาได้ยาก ยกตัวอย่างง่าย ๆ สูตรลับเครื่องดื่มโค้ก ก็ถือเป็นคูเมืองที่ใหญ่มาก ไม่มีแบรนด์ไหนมาแข่งได้
หรืออย่างถ้าบ้านเราก็จะมี 7 – 1 1 ที่ครองตลาด ร้านสะดวกซื้อ หรือ M a k r o ที่ครองอุตสาหกรรมขายส่ง ซึ่งธุรกิจเหล่านี้คือธุรกิจที่มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก
3. ผู้บริหารของธุรกิจมีความซื่อสัตย์และมีความสามารถรึเปล่า?
ข้อนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่วัดผลอย่างที่สุดแล้ว ในกฎลงทุนทั้งสี่ข้อ บั ฟ เ ฟ ต ต์ กล่าวว่าเขามองหาคุณสมบัติสามอย่างในตัวผู้จัดการหรือผู้นำ: ความฉลาด ความคิดริเริ่ม และความซื่อสัตย์ แต่ในสามอย่างนี้ความซื่อสัตย์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้คุณลักษณะสองอย่างแรกจะทำให้ทุกอย่างล้มไปกันหมดเลย
บั ฟ เ ฟ ต ต์ เขียนไว้ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นปี 1998 ว่า “เราไม่ต้องการเข้าไปทำงานร่วมกับผู้จัดการที่ขาดคุณสมบัติที่น่าชื่นชม ไม่ว่าโอกาสทางธุรกิจของพวกเขา จะน่าดึงดูดเพียงใด เราไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจที่ดีกับคนไม่ดีเลย” เมื่อมีความซื่อสัตย์สิ่งที่ตามมาคือความเชื่อใจ
นั่นหมายความว่า บั ฟ เ ฟ ต ต์ หรือมังเกอร์ก็ไม่ต้องคอยมาตรวจสอบหรือดูแล ธุรกิจที่อยู่ในเครือโดยวางคนที่ไว้ใจได้ให้ตัดสินใจตรงนั้นไปเลย พวกเขาเปรียบเทียบการหาผู้จัดการกับการเลือกนักเบสบอล หาคนที่ดีแล้วก็ปล่อยให้เขาทำงานโดยไม่ต้องไปสั่งอะไรเลย
4. ราคาสมเหตุสมผลรึเปล่า?
สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง ของวิธีการลงทุนของ บั ฟ เ ฟ ต ต์ และมังเกอร์คือการมองหาธุรกิจที่ดีในราคาที่เหมาะสมต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน แม้ว่าจะไม่มีการวัดมูลค่าที่เป็นสากลว่ามูลค่าของบริษัทตอนนั้นเป็นเท่าไหร่
แต่บริษัทที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ ที่ยาวนานมักจะมีรายได้ที่สม่ำเสมอ กระแสเงินสดที่ดีและมีหนี้สินจำนวนน้อย เมื่อราคาหุ้นดูต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัท นั่นคือโอกาสในการซื้อ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ทั้งคู่จะรอจนกว่าราคาหุ้นร่วงหนักแล้วถึงเข้าไปซื้อนะครับ ที่จริงแล้วเมื่อราคา มันสมเหตุสมผล การลงทุนในเวลานั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดอะไร อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น
ว่าพวกเขาคือนักเลือกธุรกิจ และไม่ใช่นักเลือกหุ้น เพราะฉะนั้นมันคือการลงทุนในระยะยาว มองไปในอนาคต ไม่ใช่แค่ราคาหุ้นในตอนนี้
ขอขอบคุณ a o m m o n e y