Home ข้อคิด 10 สิ่งต้อง “เลิกทำ” หากอยากเลี้ยงลูกให้ดีในยุคนี้ เพราอาจทำร้ายจิตใจลูก

10 สิ่งต้อง “เลิกทำ” หากอยากเลี้ยงลูกให้ดีในยุคนี้ เพราอาจทำร้ายจิตใจลูก

13 second read
0
0
1,374

คนเป็นพ่อเป็นแม่ มักใช้ความเป็นผู้ใหญ่มองเด็ก โดยบางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เด็กคิด นั้นอาจเป็นอีกหนึ่งมุมมองของเขา

มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่พ่อแม่อาจไม่เคยรู้ ว่าสิ่งที่ทำกับลูกในทุกวันนี้อาจส่งผล ทําร้ า ย จิตใจลูก ได้มากที่สุด

อยากเลี้ยงลูกให้ดี เลิกทำ 10 สิ่งที่ ทำ ร้ า ย จิตใจลูก

1. เมินเฉยกับการทำดีของลูกหรือรู้สึกยินดีแบบผ่าน ๆ

ผู้ใหญ่มักมอง เห็นความสำเร็จเล็ก ๆ ของลูกเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย และให้ความยินดีแค่เพียง ๆ ผ่าน แทนที่จะมองว่าผลลัพธ์ในสิ่งที่ลูกทำได้ดีนั้น จะเป็นการต่อยอดไปสู่ผลงาน

หรือความสำเร็จที่ดีในอนาคตของเขาได้หาก ได้รับการส่งเสริมที่ดีจากพ่อแม่ การเมินเฉยหรือการยินดีแค่เพียง ชั่ ว ขณะอาจทำให้ลูกรู้สึกไม่มั่นใจ และไม่ภาคภูมิใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้

2.ทำ ร้ า ย ความมั่นใจของลูก

พ่อแม่หลายคนเผลอไป ทำร้ า ย ความมั่นใจของลูกโดยไม่รู้ตัว เข่น การพูดถึงข้อด้อยของลูกต่อผู้อื่นหรือในที่สาธารณะหรือการบังคับให้ลูกทำอะไร

โดยที่เขายังไม่พร้อมหรือกล้า การทำแบบนี้ของพ่อแม่ จะทำให้ลูกกลายเป็นคนขาดความมั่นใจและ ทำ ร้ า ย จิตใจของลูกได้นะคะ

3. เปิดเผยความลับ ของลูกให้คนอื่น

แท้จริงแล้วพ่อแม่คือ ที่ปรึกษาที่ดีที่สุดของลูก แต่เด็กในสังคมไทยปัจจุบันกลับเลือกปรึกษาเพื่อนก่อนพ่อแม่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าบางเรื่องพ่อแม่เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่

หรือเป็นเรื่องที่มองข้ามความสำคัญของลูกไป หรือแก้ปัญหาไม่ตรงจุด จนลูกมองว่าพ่อแม่ ช่วยอะไรไม่ได้ แต่สาเหตุหลักคือเรื่องของความลับที่เด็กไม่อยากให้คนจำนวนมากรู้

หากมีเรื่องสำคัญนั้น ร้อยละ 80 ลูกมักจะเลือกบอกแม่ แต่แม่ก็อาจจะนำความลับนี้ ไปปรึกษาพ่อหรือคนอื่น ซึ่งการทำแบบนี้อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่ไหววางใจหรือเชื่อใจ

ที่จะบอกความลับตนเอง จึงมักทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้

4.มองข้ามการแสดงความคิดเห็นของลูก

ผู้ใหญ่มักแสดงความไม่พอใจ ต่อเด็กที่ประพฤติตัวไม่ดี โดยอาจใช้การ ดุด่า ต่อว่า แต่เด็กร้อยละ 90 ไม่สามารถแสดงอาการไม่พอใจในตัวผู้ใหญ่ออกมาได้ และหากกล่าวว่าผู้ใหญ่ผิดก็ทำให้มองว่าเป็นเด็กไม่ดี

ทำตัวไม่เหมาะสม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพ่อแม่สามารถเป็นแบบอย่าง ให้ลูกในการแสดงออกและเปิดใจให้กว้างต่อการฟังความคิดเห็นจากทุกคนในครอบครัว ยอมรับความผิดถูกและช่วยกันแก้ปัญหา

เพื่อให้ลูกกล้าแสดงออกและรู้จัก ที่จะยอมรับในสิ่งผิด อันจะเป็นรากฐานต่อการใช้ชีวิตในสังคมเมื่อเขาเติบโตขึ้น

5. ใช้ถ้อยคำ รุ น แ ร ง ด่าว่าลูก

การใช้ถ้อยคำที่ว่ากล่าวตักเตือน เมื่อเด็กทำผิด ไม่ใช่การด่าว่า ใช้คำ รุ น แ ร ง ส่ อ เ สี ย ด เพื่อให้เด็กกลัว หรือหลาบจำ เพราะการทำแบบนี้นอกจากจะทำให้ลูกรู้สึกไม่ดี

ยังทำให้เด็กไม่มีความสำนึกผิด หนำซ้ำยังคิดจะทำครั้งต่อไป แบบที่ไม่ทำให้โดนจับได้เพื่อจะได้ไม่โดนด่า แถมยังเกิดการเลียนแบบถ้อยคำ ห ย า บ ค า ย จากผู้ใหญ่อีกด้วย

6. นำเรื่องที่เคยทำผิดของลูกมากล่าวว่าซ้ำ ๆ

ผู้ใหญ่ส่วนมาก เวลาดุเด็กที่ทำผิด มักจะนำเรื่องของลูกที่เคยทำผิดมาแล้วมา กล่าวว่าซ้ำ ๆ เหมือนเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมลูกเข้าไปอีก และร้อยละ 50 ที่แสดงอาการแบบนี้

จะหยุดก็ต่อเมื่อเด็กเกิดอาการเสียใจ การทำแบบนี้ ถือเป็นการกระทำที่ ทำ ร้ า ย จิตใจลูกได้มาก และจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึก เ จ็ บ ใจ โกรธ จนทำให้ลูกไม่คิดจะปรับปรุงตัวให้เป็นเด็กที่ดีขึ้นง่าย ๆ แน่

7. ใช้ความ รุ น แ ร ง กับลูก

หมดยุคการลงโทษ โดยใช้ไ ม้เ รี ย วตีลูกเพื่อสร้างให้เป็นคนดีกันแล้ว เพราะการตีหรือใช้ความ รุ น แ ร ง กับเด็กไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงหรือปรับนิสัยลูกให้เป็นไปตามที่พ่อแม่คาดหวังได้

แต่จะเป็นการซ้ำเติมให้ลูกมีปมภายในใจหนักขึ้นไปอีก ความ รุ น แ ร ง ระหว่างพ่อแม่ ทะเลาะกัน หรือความ รุ น แ ร ง ที่ทำต่อลูกล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ดี ที่ยิ่งทำให้ลูกมีอาการต่อต้านหนักขึ้น

และจะกลายเป็นภาพจำ ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กก้าวร้าวต่อไปได้ในอนาคต

8. อารมณ์เสียใส่ลูก

พ่อแม่ที่อารมณ์เสีย หรือทะเลาะกัน บางครั้งก็มักจะอารมณ์เสียใส่ลูกโดยไม่รู้ตัว หรือพาลไปหาเรื่องลูก ลงใส่ลูก

การทำแบบนี้นอกจากจะเป็นการทำร้ า ยจิตใจลูกโดยง่ายแล้ว ยังทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่มีเหตุผลจนไม่คิดจะเชื่อถือได้

9. ลงโทษเมื่อลูกทำผิด

พ่อแม่จำนวนมากคิดว่าการลงโทษ คือวิธีที่จะทำให้เด็กจดจำและจะไม่ทำผิดอีก แต่กลับตรงกันข้ามวิธีนี้จะทำให้ทำให้ลูกรู้สึกเสียใจ กลายเป็นเด็กที่เก็บกด และกลัวความผิดพลาด

จนกลายเป็นคนขี้ระแ ว งได้ วิธีที่ถูกต้องที่สุดคือ การปลอบ เมื่อลูกทำผิดพลาด อธิบายเหตุผลว่าทำไมนี้คือสิ่งที่ลูกทำผิด จะมีผลเสียอย่างไร พร้อมทั้งแนะนำ

ช่วยกันหา วิธีคิดแก้ปัญหาให้กับลูก หรือใช้วิธีลงโทษแบบนุ่มนวล เช่น การลงโทษแบบ time in หรือ time out

10. เอาความคิดของตัวเอง เป็นหลักและไม่ใจกว้างที่จะเข้าใจลูกตัวเอง

พ่อแม่อาจจะจด วันเดือนปีเกิดของลูกได้ รู้ว่าลูกชอบกินอะไรหรือไม่ชอบอะไร ฯลฯ แต่การรู้จักลูกในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า คนเป็นพ่อแม่จะเข้าใจในสิ่งที่ลูกคิดได้

หากคุณยังต้องการให้ลูกต้องทำนู่นนั่นนี่ในแบบที่พ่อแม่คิด โดยไม่ถามความสมัครใจ หรือไม่ได้สังเกตอาการ สีหน้า ความสุข ของลูกเลย พ่อแม่ทุกคนอยากเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด

แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามตี ห้ามดุไปเลยทีเดียว แต่ควรทำแบบพอดี ไม่มากเกินไป ควรใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ใช้ความจำเป็นให้มากกว่าความต้องการ

เพื่อไม่เป็นการ ทำ ร้ า ย จิตใจลูก และสร้างลูกให้เป็นคนดีต่อไปเพื่อความภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่เมื่อเขาเติบโตขึ้นมานะคะ

ขอขอบคุณ t h.t h e a s i a n p a r e n t

Load More Related Articles
Load More By wansuk
Load More In ข้อคิด

Check Also

เจ้านาย 8 แบบนี้ ที่ไม่ควรเป็นหัวหน้าคน

1.เจ้านาย ทรงอำนาจ เจ้านายประเภทนี้ จะดีแต่ออกคำสั่ง มักแสดงพฤติกรรม การใช้อำนาจขณะทำงานหร…