
1. ตื่นอย่ างมีสติ
แทนที่จะตื่นมาแล้ว เช็คข่าวส ารจากโซเชียลมีเดีย เป็นสิ่งแรกของวันให้เวลาตัวเองซัก 5-10 นาที
นั่งสมาธินิ่งๆ ก่อนจะรับข่าวส ารอื่นๆ เพื่อช่วยให้ การเริ่มต้นวันใหม่เป็นไปอย่ างมั่นคงในอารมณ์
2. กินอย่ างมีสติ
บางครั้งเราก็ทานไป ด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย บางครั้งก็ทานไปด้วยดูจอทีวี จอมือถือไปด้วยแล้วครั้งสุดท้าย
ที่ทานอาห ารทีละคำ รับรสชาติ แล้วขอบคุณอาห ารในมื้อนั้น คือเมื่อไหร่กันหรือ ?
3. เดินอย่ างมีสติ
เดินไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกขอบคุณ ทุกสิ่งทุกอย่ างขอบคุณร่ างก ายที่ยังมีกำลังมากพอให้สามารถเดินได้
ขอบคุณถนนหน ทางที่สะดวกสบายมาก พอจนเดินก้าวไปได้ และเดินด้วยใจกรุณาด้วยความรู้สึกว่า
“อย ากสร้างแต่รอยย่ำอันงดงามให้กับโลกใบนี้”
4. หายใจเข้า-ออกลึกๆ
การหายใจเข้าออกลึกๆ นานๆ จะทำให้เราได้มีสติยั้งคิดถึง เรื่องราวที่เกิดขึ้น และทำให้ร่ างก ายเรา
ได้รับการผ่ อน คลายจากลมหายใจ ที่รับเข้าและส่งออก ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไปในช่วงเวลา
ที่มีอารมณ์โกรธ ลองหายใจลึกๆ เข้า ออก อย่ างช้าๆ จะช่วยให้สถานการณ์รอบข้างดีขึ้น
5. ทำงานอย่ างมีสติ
ท่ามกลางมรสุมงาน และการติดต่อผู้คนมากมาย ตลอดวันเราก็สามารถฝึกสติรู้เนื้ อรู้ตัวได้ง่ายๆ
เพียงหลับตาลงหายใจเ ข้าและออกลึกๆ สัก 5 รอบลมหายใจ โดยให้สติตามลมหายใจ
โดยไม่คิดเรื่องอื่นแล้วค่อยกลับไปโฟกัสกับงานตรงหน้าใหม่อีกครั้ง
6. เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
อย่ าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ เพราะปกติแล้ว คำว่า “ฟังหูซ้ายทะ ลุ หูขวา” นั้นเขาใช้เปรียบเปรย
คนที่ฟังอะไรแล้วไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่รับความคิดใหม่ๆ เข้ามา แต่ตอนนี้ผมกำลังหมายถึง
ถ้าเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว การฟังแบบเข้าหูซ้าย ทะ ลุ หูขวานั้นนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้เรา
ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ใครกล่าวมา
7. สนทนาอย่ างมีสติ
ฟังอย่ างตั้งใจ ฟังโดยไม่คิดตัดสินคู่สนทนา เปลี่ยนสภาพตัวเองให้เป็นเหมือนภาชนะว่างเปล่า
ที่พร้อมรับฟังบุคคลตรงหน้า ขณะที่เมื่อพูดก็ตระหนัก ถึงความงดงาม ของความสัมพันธ์ระหว่างคุณ
และคู่สนทนา สื่อส ารด้วยความรักด้วยความหวังดีด้วยใจที่อย ากจะสร้างสรรค์ความหมายดีๆ ระหว่างกัน
8. นับหนึ่งให้ถึงสิบ
เริ่มจากวิธีพื้นฐานอย่ างนับเลขในใจ เวลาที่เราโกรธใคร ให้ลองนับหนึ่งถึงสิบ หรือจะนับถึงร้อยถึงพัน
ก็คงไม่มีใครว่า เพราะการนับเลข จะส่งผลให้เรามีสมาธิ และยังได้มีเวลาไตร่ตรองคิดถึงสิ่งที่ผู้อื่น
ทำกับเราและสิ่งที่เรากำลังคิดจะทำด้วย
9. ปล่อยวาง ไม่ยึดติด
ปัญหาที่เกิดขึ้นนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคนเรามีอัตตามากเกินไป หากเราลองเปลี่ยนความคิด
ไม่ยึดติดกับตัวตน แล้วลองคิดว่าสุดท้าย วันหนึ่งเราก็ต้อง แ ต ก ดั บ และส ล ายไป วนเวียน
เป็นวัฏจั กร เช่นนี้เรื่อยไป เพราะฉะนั้น ถ้าเรายอมรับกับวัฏจักรแห่งการเกิด-ดับนี้แล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆ
ก็คงเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
10. คิดมากไปหรือเปล่า
อาการคิดมากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดโร คเครี ย ดได้ ยิ่งอากาศร้อนๆ ยิ่งเหตุการณ์อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ
ด้วยแล้วยิ่งทำให้ร้อนรน เมื่อเกิดเรื่องก็จะยิ่งเก็บมาคิด จนไม่เป็นอันกินอันนอน
ลองเปลี่ยนจากความคิดเรื่องแ ย่ๆเปลี่ยนเป็นคิดเรื่องดีๆ บ้ างสิครับ เพราะความคิดนั้นเป็นตัวกำหนด
วิถีชีวิตของเรา ไม่เชื่อลองทำดู คิดดี ทำดี เท่านี้พอ
11. ฝึกสมาธิ
การฝึกสมาธิให้ใจสงบนั้น มีหลายรูปแบบ จะนั่งสมาธิหรือเดินสมาธิก็ได้ อย่ างที่ผมเคยเขียนในเล่มก่อนๆ
ว่าเมื่อมีสมาธิก็มีสติ เมื่อมีสติ ก็เกิดปัญญา เวลาเกิดปัญหาก็จะมีทางแก้ไข
12. รู้เขารู้เรา
บางครั้งแค่เราลองมองใส่ใจนิสัยของคนรอบข้างบ้ าง ก็สามารถ ที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่ างไม่ย ากเย็น
แต่เราจะต้องรู้จักระงับสติอารมณ์ของเราด้วย เพราะเมื่อเราทราบแล้ว ว่าเขาเป็นคนแบบนี้ หากเรารับนิสัยเขาไม่ได้
ก็ให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้เป็นดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมีเรื่องมีราวกัน
13. ขอโทษ
หากเราทำผิด การใช้คำว่าขอโทษนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ไม่ใช่เรื่องย ากเลย ถ้าเราจะต้องเอ่ยคำขอโทษ
เพราะคำๆ นี้ไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีของเราตกต่ำลง หากแต่เป็นการรู้จักยอมรับในสิ่งที่ตนเองผิดต่างหากอีกทั้งยัง
จะทำให้สถานการณ์ที่เล-วร้ ายคลี่คลายลงได้อย่ างไรก็ตาม เราไม่ควรใช้คำขอโทษอย่ างพร่ำเพรื่อ
เพราะจะทำให้ติดเป็นนิสัยที่ไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ระมั ด ระวั ง
14. ยิ้มแห่งสย าม
รอยยิ้มสร้างโลกนี้ ให้สดใสได้ เหมือนดังคำที่บอกว่า “ถ้าคุณยิ้ม โลกก็จะยิ้มให้คุณ” เพียงแค่คุณไปไหนแล้ว
มีแต่รอยยิ้มให้คนรอบข้าง คนรอบข้างก็จะอารมณ์ดีขึ้นไปด้วย
15. ไม่หนีแต่ไม่ปะทะ
หากเราไม่สามารถจะทำอะไรกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ แต่จะเก็บเอาไว้ก็กลัวจะกลายเป็นคนเก็บกด
จะเดินหนีก็จะกลายเป็น คนไม่ยอมรับความจริง หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คงต้องใช้สติที่รอบคอบตัดสินใจ
ในการแก้ปัญหา รับฟังสิ่งที่ผู้อื่นว่ามา แล้วก็นำไปปรับปรุงในส่วนที่ไม่ดี หากแต่เป็นสิ่งที่เขาพูดพร่ำเพรื่อ
ก็ไม่ต้องกังวลให้เสียเวลา เลิกคิดไปเลย ไม่จำเป็นต้องไป ต่อปากต่อคำด้วย เพราะการทำเช่นนั้น
ไม่ได้ส่งผลดีอะไรขึ้นมาเลย
ขอขอบคุณ taibann