
1. ไม่ให้ยืมเงิน แต่ให้ไปเลยในปริมาณที่น้อยกว่า
ในเมื่อถ้าต้องการ ที่จะรักษาน้ำใจกันแล้วละก็ คงปฎิเสธไม่ได้ที่เราจะต้องเสียเงินสักหน่อย แต่จะดีกว่ามากถ้าเราไม่ต้องเสียเต็มจำนวนที่เขายืม แต่ให้เงินจำนวนหนึ่งกับเขาไปเลย โดยที่เราจะไม่ทวงเงิน หรือนับบุญคุณกับผู้ยืมอีก แต่ก็ไม่ควรให้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนทั้งหมด
หรือถ้าเขายืมเงินในจำนวนมากจริงๆ ก็ให้แค่ 10-25 เปอร์เซ็นต์และไม่เดือดร้อนเรา ที่เหลือก็อยู่ที่ตัวเขาแล้วละว่าจะรับเงินส่วนนี้จากเราไหม ถ้าเขาต้องการจะใช้เงินจริงๆ มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรับไว้ก่อน มันอาจจะเป็นวิธีที่ทำให้เขาดูไม่มีศักดิ์ศรี
และทำให้เขาคิดว่าเราไม่เชื่อเขาว่าจะหาทางนำเงินจำนวนนี้มาคืนเราได้ แต่มันคือวิธีหนึ่งที่วินๆ กันทั้งสองฝ่าย เขาได้เงิน เราก็ได้ช่วยเขาแม้จะไม่มากเท่าที่เขาต้องการ แต่มันคือการให้เงินก่อนนั้นไปเลย ไม่ใช่การให้ยืม
2. พูดไปตามตรง
วิธีนี้มันอาจจะพูดง่ายๆ แต่ทำจริงๆ แล้วยากพอตัว เพราะเราต้องแสดงความจริงใจผ่านสายตาหรือบางทีเราอาจจะต้องเล่นละครผ่านสี หน้าให้เขาเห็นว่า เราเองก็รู้สึกไม่สบายใจมากๆ ที่เขามายืมเงินเราแบบนี้ เราก็บอกไปตรงๆว่าเราไม่สามารถให้เขายืมเงินได้
เราได้รู้เรื่องของเขาว่าเขามีหนี้จากคนอื่นมากมายแล้ว และเขาไม่มีเครดิตมากพอให้เราเชื่อใจ วิธีนี้มีช่องโหว่ตรงที่ ถ้าเขายังคงตามตื้อของยืมเงินไปเรื่อยๆ แต่วิธีแก้ก็แค่เรายืนกรานในคำเดิม พร้อมกับแสดงท่าทางและสายตาที่เห็นอกเห็นใจ
3. ชักแม่น้ำทั้ง 5 เรื่องการเงิน ในกระเป๋าของเรา
ไม่จำเป็นต้อง โ ก ห ก ใดๆ เพียงแค่เราพูดถึงสิ่งที่ เราจะต้องจับจ่ายใช้สอยจริงๆในปัจจุบันแต่ละเดือน แต่เราก็ใส่ตัวเลขของจำนวนเงินนั้นเว่อๆหน่อย หรืออาจจะเป็นบอกไปว่า เราต้องส่งเงินให้น้องที่กำลังเรียน ส่งเงินให้กับญาติห่างๆ
เรียนหนังสือ ส่งเงินให้กับพ่อแม่ น้อง ป่ ว ย ญาติ ป่ ว ย แมว ป่ ว ย พ่อแฟน ป่ ว ย กลัวไม่สมจริงก็ไปเรียกแฟนมาแสดงละคร ด้วยเลยสนุกดี แต่ถ้าเขาต้องการจะใช้เงินจริงๆ คงไม่มาสาวเอาเรื่องราวมากมายหรอก คงจะรีบไปหาคนอื่นที่จะสามารถให้เขายืมได้รายต่อไปแล้ว
4. เสนอคนอื่นที่น่าสนใจในการยืมเงิน
ก็คงจะพุดยาก ถ้าเขามาขอยืมเงินเราแล้วเราปฎิเสธไป พร้อมทั้งบอกให้เขาไปยืมคนอื่น แต่ถ้าเราแนะนำคนที่พอจะช่วยเขาได้ อย่างการบอกให้ลองไปยืมเจ้านายดูสิ เจ้านายเขาเป็นถึงเจ้านายของเราเลยนะ เขาน่าจะช่วยได้ หรืออย่างการบอกให้เขาเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ไปขาย
หรือไปจองกับคนที่พอจะมีเงินอย่างหัวหน้า หรือกับทางธนาคารเองเลย ซึ่งมันก็เป็นวิธีที่ได้ผลดีถ้าต้องการจะใช้เงินและยิ่งในยุคสมัยนี้ เราสามารถนำรถของเราไปแลกเป็นเงินสดมาใช้ก่อนก็ได้ ก็ช่วยแนะนำธนาคารที่เชื่อถือได้ และให้อัตราดอกดอกเบี้ยที่ต่ำแกเขาด้วย
5. ให้โดยข้อแลกเปลี่ยน
นำหลักทรัพย์ บางอย่างมาจำนำกับเรา เราก็บอกเขาไปว่าเราขอมีความมั่นใจสักนิดหากเขาต้องการจะยืมเงินเราจริง ขอทรัพย์สินบางอย่างมาอยู่ในมือเรา เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเขาจะคืนเงินเราแน่นอน ซึ่งถ้ามาในรูปแบบนี้เขาจะถอยห่างจากเราแน่นอน เพราะเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากๆ
แม้ว่าเราจะให้มูลค่าของทรัพย์สิน นั้นมากกว่าที่โรงจำนำจะให้ได้ และไม่มีอัตราดอกเบี้ยเก็บเพิ่ม แต่นั้นเขาก็ยังคงเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี ที่นำทรัพย์สินของเขามาให้เรา ซึ่งปกติถ้าเขาเจอในรูปแบบนี้เขาจะหนีและถอยห่างเราไปเอง
แต่ถ้าเขายืนยันที่จะยืมและนำทรัพย์สินมาให้เรา เพื่อเป็นหลักประกันในการยืม จงตรวจสอบทรัพย์สินนั้นให้ดี ว่านั้นใช่ของเขาจริงหรือไม่ และได้มาโดยชอบธรรมจริงๆ หรือเปล่า
6. มีคนอื่นยืมเงินตัดหน้าไปแล้ว
แม้จะเป็นการ โ ก ห ก แต่ก็เป็นการ โ ก ห ก ที่แนบเนียนมากๆเชียวละ เพราะคนที่ยืมเงินมักจะเกิดเหตุการณ์ที่พลาดไปนิดเดียว เกือบจะได้แล้วอยู่บ่อยครั้ง อาจจะบอกไปว่าเมื่อวานพึ่งมีคนมายืมเงิน น้อยกว่าจำนวนเขานิดหน่อยเพื่อความสมจริง
และนั้นก็เป็นจำนวนเงินที่เราต้องใช้เวลา เก็บหลายเดือนอยู่กว่าจะได้มา คงจะให้คุณยืมเงินในเร็ววันนี้ไม่ได้หรอก วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดีมากเขาคงยืมเงินเราไมไ่ด้ไปอีกหลายเดือน และกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะกลับมายืมใหม่ ตอนนั้นเขาคงลาออกจากงานไป ยืมคนในที่ทำงานใหม่แล้ว
7. บอกถึงเป้าหมายการเก็บเงินของเรา
“เราจะไปขอแฟนแต่งงาน ถ้าช้ากว่านี้พ่อแม่เขาจะไม่ยกลูกสาวให้เราแล้ว” อะไรประมาณนี้ หรืออย่าง “เราจะไปเที่ยวดูทีมฟุตบอลสุดโปรดถึงขอบสนาม เพื่อนที่ชอบดูบอลเหมือนกัน นายต้องเขาใจเรานะ เราให้นายไม่ได้จริงๆ” แม้ฟังดูมันเป็นความสุขของเรา ที่สามารถรอได้นั้นแหละ
แต่ในฐานะคนที่เก็บเงินมาอย่างยาวนาน ย่อมมีเป้าหมายในการใช้เงินและจะเอาเป้าหมายนี้ไปมอบให้เพื่อนยืม มันก็ศูนย์เปล่ากันพอดีนะซิ เพื่อนก็คงบอกว่าเดี๋ยวคืนน่า พูดชักจูงไปถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ๋ เล่นใหญ่ไว้ก่อน เดี๋ยวเขาก็เลิกต่อล้อต่อเถียงกับเราเอง
8. ชวนพาไปทำบุญให้จิตใจสงบ (เปลี่ยนเรื่องคุย)
จริงๆ ก็มีหลากหลาย วิธีในการเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ที่ดีที่สุดคือการชวนไปทำบุญ เวลาเข้าวัดจิตใจจะสงบมากขึ้นเราจึงชวนเขาไปเข้าวัดค่อยๆคิดหาวิธีแก้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ใช้วิธีโบราณ นั้นคือหนีไปบวช อันนี้หยอกเล่น
จริงๆ การได้อยู่กับตัวเอง อยู่ในที่สงบๆ สภาพแวดล้อมที่ดีๆ จะทำให้เรานึกอะไรดีๆ ออก หาทางออกบางเรื่องให้กับชีวิต ถ้าคิดเองไม่ได้ลองไปถามหลวงพ่อที่เจริญภาวนามาตลอดค่อนชีวิต ไม่มากก็น้อยเราต้องได้แง้คิดดีๆ หรืออาจนึกวิธีแก้ไขช่วงชีวิตนี้ให้ดีกว่า
ดีกว่ายืมเงินแล้ว ต า ย เอา ด า บ หน้าซ้ำแล้วยังดึงเพื่อนเขาไปติดในบ้วงกรรมนี้ด้วย อาจจะทำให้เสียมิตรภาพดีๆ ไปเพราะเรื่องเงินด้วยซ้ำ เอ่อ.. แต่เงินค่าทำบุญช่วยๆออกให้เพื่อนก่อนนเนอะ คงไม่มากมายอะไร
ขอขอบคุณ m o v e r.i n.t h