หลายครั้ง ที่ปัจจัยต่างๆ ฉุดรั้งเราไว้จน ชีวิตไปไม่ถึงไหน กับเขาสักที บางคนเลือกที่จะโทษคนอื่น หรือสถานการณ์ต่างๆ บางคนตัดขาดตัวเอง ไม่ยอมรับรู้ความเป็นจริงรอบด้าน
ขณะที่บางคน กลับก้าวไปข้างหน้า ได้เร็วกว่าใครๆ หากใครคิดว่า ตัวเองกำลังประสบกับอุปสรรคในชีวิต ลองมาดูสาเหตุสำคัญ 7 ข้อ ที่ฉุดรั้งชีวิตเราไว้ไม่ให้ก้าวหน้าไปไหนกันดีกว่า
1. ยึดติดกับความฝันอันเลื่อนลอย
ใครๆ ก็มีความฝัน แต่มีบางคนที่ใช้ชีวิต อิงอยู่กับความเพ้อฝัน จนหลงลืมมองความเป็นจริง ทำให้เขาติดอยู่ในกับดักแห่งจินตนาการ จนไม่คิดจะพยายามอย่างเอาจริงเอาจัง
หน้ามืดตามัว จนลืมมองความเป็นไปได้ เช่น วาดฝันว่าจะได้แต่งงานกับใครบางคน ความฝันคือถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งแล้วจะได้ไม่ต้องทำงาน
ฝันจะได้ไปเปิดร้านนวดที่ต่างประเทศ แต่ไม่ศึกษาภาษา หรืออะไรสักอย่าง
หนทางแก้ไข :
หากคุณรู้ว่าตัวเอง กำลังเป็นคนแบบนี้ ทางแก้ไขคือ ก้าวออกมาจากความเคยชินในชีวิต ลองทำบางอย่างที่เราไม่เคยทำสำเร็จมาก่อนให้สำเร็จดูสักครั้ง
ความรู้สึกดีๆ ณ ขณะนั้น จะขับเคลื่อนให้เราอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นได้มากขึ้น แทนการจมจ่อมอยู่กับโลกจินตนาการ
2. วอกแวกไปสนอย่างอื่น จนลืมเป้าหมาย
เคยมั้ย ที่บอกกับตัวเองว่า เดี๋ยวเช็ค เ ฟ ส บุ๊ ค แปปนึง แล้วค่อยกลับไปทำงานแล้วกันนะ หลายคน สัญญากับตัวเองแบบนี้ ก่อนจะจมหายไปกับการท่องโลกโซเชียล
หลายคนยาวถึงเช้าไปเลยก็มี นี่เป็นอีกหนึ่งข้อเสีย ของเทคโนโลยี ที่มาพร้อมกับความเพลิดเพลินใจในการไถมือถือ เพราะผลลัพธ์ของมันก็คือ งานที่ควรจะเสร็จ ก็ไม่เสร็จสักอย่าง
หนทางแก้ไข :
เราต้องมั่นคงกับเดตไลน์ของเรา จัดลำดับความสำคัญและแบ่งเวลา ให้ชัดเจน ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งยั่วยุต่างๆ ที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ทำให้เสียเวลาชีวิตค่ะ
3. เอาแต่โทษคนอื่นอยู่เสมอ
สำหรับคนที่เมื่อเกิด เรื่องผิดพลาด ก็มักจะโทษคนอื่น นอกจากตัวเองไว้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น โทษดินฟ้า อากาศ โทษคนรอบข้างหรือแม้แต่พ่อแม่ ว่าเป็นต้นเหตุของทุกความล้มเหลวในชีวิตเรา
ขอให้ลองทบทวน และปรับทัศนคติใหม่ เราอาจนึกเสียใจ กับเรื่องที่ผิดพลาดได้ แต่ถึงจะโทษคนอื่นๆ ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา จริงมั้ย?
หนทางแก้ไข :
ทางเดียวที่จะแก้ไขคือ ลุกขึ้นมาตั้งเป้าหมาย และพยายามด้วยตัวเอง จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง
4. วิเคราะห์ตัวเองมากไป จนไม่เริ่มอะไรเลย
การวิเคราะห์ตัวเอง มากเกินไป จะทำให้เราค่อยๆ ค้นพบปัญหาในตัวเองมากขึ้นๆ ผลลัพธ์คือ มันจะเริ่มหยั่งรากลึกในตัวคุณ
ทำให้คุณรู้สึก แ ย่ กับเหตุการณ์ ร้ า ยๆ เรื่องผิดพลาดต่างๆ ที่อาจจะเกิด (แต่ยังไม่ทันเกิด)
และแน่นอนว่าแบบนี้จะยิ่งทำให้ เ ค รี ย ด มากขึ้น และกลัวจนไม่เริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง
หนทางแก้ไข :
ทางที่ดี เราควรจะมองหาความพึงพอใจด้านบวก และ ความเป็นไปได้ ในตัวของเราเอง ซึ่งจะช่วยให้เรารู้สึกกระตือรือร้น และกล้าที่จะเริ่มต้นลงมือทำบางอย่าง
5. ขาดแรงจูงใจและความพยายาม
เคยตั้งใจจะทำอะไร แต่กลับ พับ Project นั้นไปแบบครึ่งๆ กลางๆ บ้างมั้ยคะ ? เชื่อว่าบางครั้ง หรือหลายๆ ครั้ง คุณเองก็เคยเป็นแบบนี้ ตั้งเป้าไว้ดิบดี วันนี้จะไปเข้ายิม พรุ่งนี้เริ่มไดเอท
แต่ทำๆ ไปได้ประมาณอาทิตย์ หรือเดือนกว่าๆ ก็เลิกซะแล้ว ที่มันเป็นซะอย่างนี้ก็เพราะเราไม่มีความมุ่งมั่น และความต้องการที่จะทำมากพอนั่นเอง
ญี่ปุน ใช้คำว่า The 3-day monk จำกัดความหมายของ การทำอะไรอย่างตั้งใจเพียงแค่ไม่กี่วันก็เลิก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่บรรดาคนที่ขาดระเบียบวินัยทางความคิด เป็นกันบ่อยๆ
หนทางแก้ไข :
ให้จดจ่อกับสิ่งที่ต้องทำให้ได้ อาจจะเริ่มอย่าง ค่อยเป็นค่อยไปก่อน เช่น เริ่มลดมื้อเย็นลงเรื่อยๆ วันละ 1 ทัพพี หรือ 1 ช้อน
ลองมองภาพตัวเองในอนาคต เมื่อเราพยายามทำสิ่งนี้จนสำเร็จแล้ว มันจะดีขนาดไหน ไม่ควรกดดันตัวเองเกินไป
เพราะถ้า เ ค รี ย ด ก็อาจจะส่งผลเสียกับ สุ ข ภ า พ หรือ ทำให้ล้มเลิกความตั้งใจไปกลางทางอีกครั้ง
6. โยนความรับผิดชอบให้คนอื่น
ถึงทุก ความผิดพลาด ที่เกิดขึ้นในชีวิต จะไม่ใช่ความผิดเราทั้งหมด แต่หากมันเกี่ยวข้องกับเรา เราก็ต้องยอมรับว่าตัวเองมีส่วนในการรับผิดชอบด้วย
การโยนความรับผิดชอบให้คนอื่น ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลาย ในทางกลับกัน หากคุณยอมรับความผิด และเปลี่ยนแปลงบางสิ่งด้วยตัวเอง
จิตสำนึกในความรับผิดชอบนี้ จะชักจูงชีวิตคุณ ไปยังทิศทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยๆ คุณก็ไม่ใช่คนที่ทำตัวลอยลำ
หนทางแก้ไข :
ลองคิดหาไอเดีย สำหรับแก้ปัญหาที่เกิด นอกจากจะได้เพิ่มศักยภาพในการทำงานให้ตัวเองแล้ว
เราจะได้ไม่รู้สึก แ ย่ กับตัวเองทีหลังที่ปล่อยให้มันผ่านไป โดยไม่ทำอะไรเลย
7. กลัวตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม
จากเรื่องราวความล้มเหลวของคนอื่น ที่เราเคยได้เห็นผ่านตา อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
ที่ทำให้เรายังไม่กล้าลอง ทำสิ่งที่อยากทำ เพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ กลัวจะเป็นแบบเขา
หนทางแก้ไข :
ในกรณีนี้อยากแนะนำ ให้ลองวิเคราะห์สถานการณ์ของตัวเองดูก่อน หรืออาจลองคุยกับคนรอบข้าง เพื่อทบทวนปัญหาและอุปสรรคของตัวเอง จากสายตาคนนอก
ไม่มีความสำเร็จรูปแบบไหนเกิดขึ้นได้ หากเราไม่เริ่มต้นลงมือทำ ขอให้คิดเสียว่าการลองผิดลองถูก เป็นเรื่องธรรมดา
ขอขอบคุณ g o o d l i f e u p d a t e