Home ข้อคิด 9 แนวคิดเข้าใจคนรวย แล้วคุณจะไม่จนอีกเลย

9 แนวคิดเข้าใจคนรวย แล้วคุณจะไม่จนอีกเลย

13 second read
0
0
24

ทำไมถึง “จน” เพราะคุณยังมีความคิด แบบคนจนที่ยังไม่พัฒนา เรา รวบรวมความคิดและทัศนคติ ของคนจน แล้วนำมาเปรียบเทียบระหว่าง คนจน กับ คนรวย ว่าคิดต่างออกไปอย่างไร

1.คิดลบทุกเรื่อง (Negative Thinking) ความคิดแง่ลบ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะกำหนดการดำเนินชีวิตให้ตกต่ำลง เพียงแค่แวบแรกที่คุณคิดลบ มันจะปิดกั้น การกระทำที่จะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของคุณในทันทีเพราะคุณก็จะหาวิธีการทำแต่อะไรที่ แ ย่ ๆ ที่ไม่สร้างสรรค์

แตกต่างกับคนรวย ที่ความคิดส่วนใหญ่ จะเป็นในลักษณะความคิดบวก (Positive Thinking) ยกตัวอย่างเช่น คำพูด “ไม่ได้ กับ ได้”คนที่คิดลบ ที่พูดว่า ไม่ได้ เหมือนเป็นการปิดกันทางความคิดและการกระทำของเราให้หยุดอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าเราคิดว่า ได้ จะเป็นการเปิดรับความคิด

การเรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาตนเอง ไปอีกขั้นหนึ่ง ถึงแม้สิ่งที่เราทำจะไม่สำเร็จแต่อย่างน้อยเราได้ลองทำ ลองเรียนรู้ และสิ่งที่ได้กลับมาคือประสบการณ์นั่นเอง

2.ไม่คว้าโอกาส “คนรวยมองหา โอกาสคนจนมองหา อุปสรรค” คำพูดนี้เป็นสิ่งที่ สะท้อนได้ดีถึง การโฟกัสทางความคิดที่แตกต่างกันทำให้บางครั้งเราพลาดสิ่งดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตไปอย่างน่าเสีย บางครั้งโอกาสที่ผ่านเข้ามาอาจจะไม่กลับมาให้อีกเป็นครั้งที่สอง

เหตุผลที่เราไม่คว้าโอกาสนั้นไว้มีเพียงแค่เหตุผลเดียวคือ คือ “อุปสรรค”ที่ทำให้เรากลัวไม้กล้าที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดให้เหมือน อย่างคนรวยที่มักจะไม่ปล่อยโอกาสที่เข้ามาถึงให้หลุดมือ ถึงแม้คนรวยเหล่านี้จะต้องเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆมากมาย

แต่พวกเขามองอุปสรรคต่างๆเป็นเรื่องเล็กแล้วส่วนใหญ่อุปสรรคเหล่านั้นก็สามารถผ่านพ้นไปได้

3.มีรายได้เพียงช่องทางเดียว คนจนมักจะมีรายได้ จากงานประจำเพียงช่องทางเดียว อาจจะไม่เพียงพอที่จะสามารถทำให้คุณมั่งคั่งร่ำรวยได้ แตกต่างกับคนรวย คนที่ประสบความสำเร็จ ในชีวิตส่วนใหญ่แล้วรายได้ไม่ได้มาจากการทำงานเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง

คนรวยส่วนใหญ่จะกระจายรายได้ในหลากหลายธุรกิจ ตัวอย่างเช่นคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี รายได้ไม่ได้ มาจากธุรกิจน้ำ เ ม า เพียงอย่างเดียว ยังมีรายได้มาจาก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเครื่องดื่ม ของกินเล่น เป็นต้น

ทำให้เวลาธุรกิจหนึ่งทรุดตัวลง ก็ยังมีอีกธุรกิจหนึ่งคอยประคองรายได้ไม่ให้หายไปจนขาดมือซึ่งถือว่าเป็นการกระจายความ เ สี่ ย ง อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

4.คิดว่าตัวเองรู้หมดแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะพยายามค้นคว้าหาความรู้เปิดรับสิ่งใหม่ตลอดเวลา ไม่ปิดกั้นโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่และยอมรับฟังความคิดเห็น จากผู้อื่นการวางตัวในลักษณะนี้จึงทำให้เกิดการพัฒนาเปิดรับมุมมองใหม่ๆ ตลอดเวลา

แตกต่างกับคนจน ที่มักคิดว่าตนเองเก่งแล้ว ฉลาดแล้ว อีโก้ไม่ยอมฟังผู้อื่น ความคิดลักษณะนี้จะเป็นการสั่ง ส ม อ ง ไม่ให้รับฟังความคิดเห็น ไม่เรียนรู้เพิ่มเติม สุดท้ายจะทำให้เราไม่พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอดีตเป็นอย่างไรปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่

5.ไม่มีวินัย วินัยในที่นี้ หมายถึง วินัยในการทำงาน และวินัยทางการเงินวินัยเป็นสิ่งที่สำคัญของคนที่ต้องการรวยหรือต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เราจึงฝึกวินัย ให้ติดตัวเราไปตลอด วินัยจะช่วยให้เรามีระเบียบในการดำเนินชีวิตไม่ออกนอกลู่นอกทางและเป็นการสร้างโอกาสที่จะประสบความสำเร็จให้มีมากยิ่งขึ้น

ด้วยการฝึกให้ตัวเองมีวินัยในช่วงแรก อาจจะเป็นอะไรที่อึดอัด แต่เมื่อทำไปทุกวันแล้วจะติดตัวเราไปเอง เราจะสังเกตได้ว่า คนจน ทำไมถึงไม่รวยซักที เพราะไม่มีวินัยทางการเงิน ไม่รู้จักเก็บออม ใช้จ่ายเกินตัว ใช้เงินผ่อนยืมเงินอนาคตมาใช้กับสินค้าฟุ่มเฟือย

ซึ่งไม่ก่อเกิดรายได้ มาจุนเจือดอกเบี้ยที่ต้องเสียไปในแต่ละวัน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการขาดวินัยทั้งสิ้น

ถ้าเป็นแบบนี้ทำอย่างไรก็ไม่รวยซักที ดังนั้นจึงต้องมองกลับมาทำไม คนรวยถึงรวยแล้วรวยขึ้นไปอีก เพราะคนเหล่านี้ มีแผนในการบริหารเงินที่ดี ทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปมีเหตุผลเสมอและที่น่าสังเกตบุคคลเหล่านี้มักจับจ่ายใช้สอยในสิ่งที่จำเป็น ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่อวดรวย ทำตัวเรียบเงียบในสังคม

คำตอบก็คือคนเหล่านี้มี วินัยทางการเงิน วินัยด้านการทำงานตัวอย่างบุคคลที่เป็นแบบอย่าง เช่น คุณเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าพ่อกระทิงแดง มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเลี้ยงเป็ดและค้าขายผลไม้

ถึงแม้จะเป็นทำธุรกิจ ก ร ะ ทิ ง แ ด ง จนประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐี แต่คุณเฉลียวก็ยังคงทำตัวเรียบง่าย ขับรถเบนซ์เก่าๆ ไปทำงาน ตรวจโรงงาน คุมงาน อย่างพนักงานทั่วไป และไม่มีลักษณะการจับจ่ายใช้สอยฟุ้งเฟ้อแม้แต่น้อย

6.อิจฉาผู้ที่ได้ดีกว่าตนเอง ผู้ที่อิจฉาผู้อื่นที่ได้ดีกว่ามักจะพลาดโอกาสดีๆที่จะได้เรียนรู้จากผู้ประสบความสำเร็จ สุดท้ายคนจนก็จะคบค้าสมาคมกับคนระดับเดียวกัน จนเหมือนกันเพราะเราอิจฉาคนที่รวยกว่าเรา

จึงต้องอยู่แบบจนๆต่อไป แต่กลับกัน คนรวยมักจะค้าสามาคมกับรวย และมักจะแลกเปลี่ยนมุมมอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โลกจะดูกว้างขึ้นและมีโอกาสดีๆเข้ามาเสมอๆ

7.คิดได้แต่ไม่ลงมือทำ ความแตกต่างของคนเราอยู่ที่เราจะเริ่ม ลงมือทำเมื่อไร คนจนมักจะคิดเล็กคิดน้อย จะเริ่มก็ไม่เริ่มเพราะแต่คิดถึงอุปสรรค ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่เริ่มไม่ลงมือทำแต่คนที่จะประสบความสำเร็จเหล่านี้ไม่ใช่ไม่คิดคนรวยก็ต้องเผชิญกับอุปสรรค

เผชิญกับความ เ สี่ ย ง เช่นกัน แล้วอะไรคือทำให้คนรวยกล้าที่จะลงทุนกล้าที่จะลงมือทำ นั้นก็คือ “การลดความ เ สี่ ย ง ” ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงค่อยเริ่มที่จะทำมันให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

8.คิดเล็กไม่คิดใหญ่ คนจนมักจะคิดอะไรเล็กๆ แค่จะคิดให้ใหญ่ ยังไม่กล้าคิด ขนาดของความสำเร็จ ถูกกำหนดจากขนาดของความเชื่อ ถ้าคิดอะไรเล็กๆ ก็จะได้แต่อะไรเล็กๆเพราะ ส ม อ ง คุณถูกสั่งให้คิดที่จะได้เพียงแค่นั้น ถ้าคุณคิดใหญ่มันจะดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามา

จึงทำให้บุคคลผู้ที่จะประสบความสำเร็จ มักจะมีความเชื่อและมีความมั่นใจที่จะอะไรใหญ่ๆ และเชื่อว่าต้องประสบความสำเร็จและได้เตรียมแผนไว้สำหรับอนาคตว่าธุรกิจสามารถโตได้ขนาดไหนสามารถต่อยอดสิ่งที่กำลังทำได้มากน้อยเพียงใด

9.ทำงานเพื่อเงินไม่ได้ให้เงินทำงาน (วลีนี้ฮิตของผู้ที่ใฝ่หาความสำเร็จ) ข้อแตกต่าง ระหว่างคนรวยกับคนจน คือ “การเก็บออมแล้วนำเงิน นั้นไปสร้างรายได้” คนจนมักแต่คร่ำเคร่งที่จะทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำแต่สุดท้ายไม่มีเงินเก็บออมเพื่อสร้างรายได้กินดอกผลต่อไป (ทำงานเพื่อเงิน)

แต่คนรวยคิดตรงกันข้ามกับคนจน เงินที่หามาได้ต้องรู้จักบริหารเก็บบางส่วนออมและส่วนที่เหลือเอาไว้ สำหรับใช่จ่ายตามปกติ สิ่งที่ได้คือ เงินก้อนที่เติบโตจากการเก็บออมเอาไว้ลงทุนกินดอกผลต่อไปไม่ว่าจะลงทุนใน สินทรัพย์มีค่า หุ้น ที่ดิน ทำธุรกิจ เป็นต้น (ให้เงินทำงาน)

คนเริ่มออมก่อมักจะได้เปรียบกว่าคนที่ออมช้าหลายเท่าจากประโยชน์ของอัตราดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งเป็นเคล็ดลับด้านการลงทุนอย่างหนึ่ง ตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือ Warrant Buffet นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก Buffet ซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี (เขารู้สึกเสียใจที่เริ่มต้นช้าไป)

และปัจจุบันได้เป็นต้นแบบนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย ถึงแม้ Warrant Buffet จะร่ำรวยแล้วยังเป็นผู้ใจบุญ บ ริ จ า ค เงินให้กับมูลนิธิต่างๆ จำนวนกว่า 31,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 85 ของทรัพย์สินเพื่อการกุศลเรา

ขอฝากทิ้งท้ายถึงผู้ที่อยากประสบความสำเร็จทุกท่านว่า จุดเริ่มต้นระหว่างความร่ำรวยและความยากจน มีจุดเล็กๆที่แตกต่างกันคือ

ความคิด (Mind Set) จะเห็นว่า 9 ข้อคิดข้างต้น นั้นแตกต่างกันชัดเจน คนรวยกับคนจนมีความคิดที่ตรงกันข้ามกัน ถ้าสารตั้งต้น (ความคิด) ถูกต้อง ผลลัพธ์ (Result) ที่ได้ก็มีโอกาสถูกมากขึ้น

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ท่านแล้วว่าอยากมีความคิดเหมือน กับคนประเภทไหนและจะแก้ไขความคิดหรือความเชื่อที่ไม่ดีนั้นเพื่อพัฒนาตนเองหรือไม่ – เทอร์ร่า บีเคเค

ขอขอบคุณ t e r r a b k k

Load More Related Articles
Load More By wansuk
Load More In ข้อคิด

Check Also

เจ้านาย 8 แบบนี้ ที่ไม่ควรเป็นหัวหน้าคน

1.เจ้านาย ทรงอำนาจ เจ้านายประเภทนี้ จะดีแต่ออกคำสั่ง มักแสดงพฤติกรรม การใช้อำนาจขณะทำงานหร…