Home ข้อคิด จงอย่า..คิดหวังกับลูกมากเกินไป (อยากให้พ่อแม่ได้อ่าน)

จงอย่า..คิดหวังกับลูกมากเกินไป (อยากให้พ่อแม่ได้อ่าน)

5 second read
0
0
50

คงไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหน ไม่เคยตั้งความหวังกับลูก ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังในพัฒนา การด้านต่างๆ เช่น เมื่อลูกอายุ 6 เดือนควรจะเริ่มคลาน หรือเมื่ออายุ 1 ขวบ ลูกควรจะเริ่มหัดพูดและหัดเดินได้

แท้จริงแล้ว ความคาดหวังที่พ่อแม่มีต่อลูกก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อย เพราะมีส่วนทำให้ลูกมีความพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จมากขึ้น มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น

ซึ่งจะเห็นได้จากงาน วิ จั ย ของต่างประเทศกล่าวว่า การที่เด็กจะประสบความสำเร็จ และภาคภูมิใจในตัวเองได้ จากความคาดหวังและผลักดันของพ่อแม่ ที่จะทำให้ลูกพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ แต่เมื่อลูกโตขึ้น ความคาดหวังที่มากและหนักหน่วงเกินไป

ก็อาจแปรเปลี่ยนและส่ง ผ ล ร้ า ย ทำให้ลูกรู้สึกกดดัน เพราะบางครั้งความคาดหวังของพ่อแม่อาจสูงเกิน ความสามารถของลูกไปบ้าง เช่น พ่อแม่หวังอยากให้ลูกสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนดี แต่ไม่ได้สังเกตว่า ความเป็นจริงแล้วลูกไม่ชอบและไม่เก่งวิชาคณิตศาสตร์

แต่เมื่อรู้ว่าพ่อแม่คาดหวัง ก็จะทำให้ลูกมีความ เ ค รี ย ด และกดดัน กลัวจะสอบได้คะแนนน้อยและความกดดันที่มากเข้า ก็อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น ตามมา เรารวบรวมข้อคิดดีๆ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจ และปรับทัศนคติที่มีต่อคำว่าความคาดหวังในตัวลูกไปด้วยกันค่ะ

1. อย่าเอาความต้องการของพ่อแม่ไปคาดหวังในตัวลูก

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำความต้องการ ของตัวเองไปฝากความหวังไว้กับลูก เช่น คุณแม่เคยเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ก็คาดหวังให้ลูกเรียนเก่ง หรือคุณพ่อเคยอยากเล่นกีฬาเก่ง ก็เลยคาดหวังให้ลูกเล่นกีฬาเก่งเหมือนกันก่อนอื่น

คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจว่าความเก่ง ความฉลาดและทักษะของลูก เป็นเรื่องเฉพาะตัว พ่อแม่อาจจะส่งเสริมและสนับสนุนลูกได้ แต่ไม่ควรคาดหวังว่าลูกจะประสบความสำเร็จตามที่ต้องการทุกอย่าง

2. พ่อแม่ต้องเข้าใจว่าเด็กทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

มนุษย์ทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และนั่นก็หมายถึง ลูกของคุณพ่อคุณแม่ด้วย ดังนั้นลูกอาจชอบหรือถนัดในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น เช่น พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเก่งวิชาวิทยาศาสตร์ เหมือนญาติพี่น้องคนอื่น

แต่ลูกอาจชอบและมีความถนัดด้านศิลปะมากกว่า การคาดหวังและพยายามทำให้ลูกชอบเรียนวิทยาศาสตร์ จะกลายเป็นความกดดัน เพราะเมื่อลูกต้องเรียนหรือทำในสิ่งที่ไม่ถนัด ลูกจะรู้สึกถูกลดทอนคุณค่าของตัวเอง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรมองหาสิ่งที่ลูกถนัด แล้วผลักดันในด้านนั้น

เพราะเมื่อลูกได้ทำสิ่งที่ชอบและสำเร็จได้จากการสนับสนุนของคุณพ่อคุณแม่ ลูกจะรู้สึกภาคภูมิใจ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น และอยากจะพัฒนาตัวเองต่อไป

3. คาดหวังเป็นระยะสั้นๆ ก็พอ

จริงอยู่ที่ความคาดหวัง เป็นสิ่งที่เลี่ยงกันไม่ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ควรระมัดระวังให้เป็นไปอย่างพอดี ไม่ตึงเกินหรือหย่อนเกินไป และที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างก็คือ พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังกับลูกในระยะยาวมากเกินไป เช่น คาดหวังว่าลูกจะต้องเรียน ห ม อ ตั้งแต่ลูกยังเด็ก

และพยายามพูดหรือแสดงความคาดหวังของตัวเอง ออกมาให้ลูกรับรู้ การทำแบบนี้ไม่ดีต่อลูกเป็นอย่างมาก เพราะระหว่างการเติบโตของลูก เขาอาจค้นพบว่าตัวเองไม่ได้อยากเรียน ห ม อ

เมื่อสิ่งที่ลูกต้องการไม่ตรงกับความคาดหวัง ของพ่อแม่ ก็จะทำให้ลูกรู้สึกกดดัน ไม่มีความสุข และอาจทำให้ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวไม่ดีอีกด้วย

4. มีความคาดหวังที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง

สิ่งที่ละเลยไปไม่ได้เลย คือพื้นฐานของความเป็นจริง เด็กจะมีพัฒนาการค่อยเป็นค่อยไปตามช่วงวัย เช่น คุณพ่อคุณแม่อาจคาดหวังว่าลูกจะไม่ร้องไห้งอแง เมื่อไปโรงเรียนวันแรก แต่ธรรมชาติของเด็กที่ไม่เคยแยกจากพ่อแม่หรือไปโรงเรียนมาก่อนย่อมต้องการและโหยหาคุณพ่อคุณแม่เป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้นหากลูกจะร้องไห้งอแงบ้าง ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่การคาดหวังว่าเมื่อลูกเข้าโรงเรียนแล้ว จะต้องดูแลตัวเองรับผิดชอบตัวเองได้อย่างดี ก็อาจเป็นการคาดหวังที่เกินความสามารถของลูก ในช่วงวัยนั้นๆ

ดังนั้นความคาดหวังที่ดี ควรจะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เหมาะสมกับลูก ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยหรือความถนัดของลูก ถ้าพ่อแม่คาดหวังในตัวลูกอย่างพอดี

ความคาดหวังนั้นจะเป็นกำลังสำคัญ ที่ทำให้เด็กประสบความสำเร็จได้อย่างมีความสุขและภาคภูมิใจไปกับมัน ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกก็จะดีด้วยเช่นกัน

ขอขอบคุณ a b o u t m o m

Load More Related Articles
Load More By wansuk
Load More In ข้อคิด

Check Also

เจ้านาย 8 แบบนี้ ที่ไม่ควรเป็นหัวหน้าคน

1.เจ้านาย ทรงอำนาจ เจ้านายประเภทนี้ จะดีแต่ออกคำสั่ง มักแสดงพฤติกรรม การใช้อำนาจขณะทำงานหร…