Home ข้อคิด เทคนิคเก็บเงินไปลงทุนให้งอกเงย ฉบับคนงบน้อย..ไม่กดดันตัวเอง

เทคนิคเก็บเงินไปลงทุนให้งอกเงย ฉบับคนงบน้อย..ไม่กดดันตัวเอง

9 second read
0
1
1,384

การลงทุนในปัจจุบัน สามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ 1 บาท แต่ถึงจะแค่ 1 บาทก็ต้องเป็น 1 บาทที่เราพร้อมจะ เ สี่ ย ง เสียมันไปนะคะ ซึ่งหากใครอยากเก็บเงินไปลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องรู้ด้วยว่าเราควรจะนำเงินส่วนไหนมาลงทุนจะได้ไม่เดือดร้อนทีหลัง

เพราะการลงทุนมันมีความ เ สี่ ย ง เงินนั้นจะต้องไม่เป็นเงินที่เอาไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และจะต้องเป็นเงินที่แยกออกมาจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ไปดูกันว่าเราควรจะเอาเงินส่วนไหนมาลงทุนดี ? แล้วจะเก็บเงินมาลงทุนยังไงสำหรับคนเงินน้อย

หมายเหตุ: บทความนี้ เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาในการชี้นำให้ลงทุนแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน

ทำไมต้องลงทุนด้วยเงินเย็น

เงินเย็น คือเงินที่เราสามารถนำมันวางเฉย ๆ ได้ โดยไม่มีแผนที่จะใช้มันเลยเป็นปี ๆ เงินส่วนนี้คือเงินที่เหมาะที่จะนำไปลงทุน ให้เงินงอกเงย สามารถนำไปทำประโยชน์ต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการออมหุ้น ซื้อกองทุนหรือจะลงทุนในทางเลือกอื่น ๆ ได้อีกมากมาย

เนื่องจากการลงทุน ทุกอย่างมีความ เ สี่ ย ง การลงทุนไม่ใช่การเก็บเงิน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรมาการันตีเราได้เลยว่า ‘เงิน’ ที่เราลงทุนไปนั้นจะไม่ขาดทุน และจะอยู่ครบตามจำนวนที่ลงทุนไป ทุกบาททุกสตางค์

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เงินที่เราจะเอามาลงทุน นั้นต้องเป็นเงินที่เราไม่จำเป็นต้องใช้จ่าย เพราะถ้าหากเราขาดทุนขึ้นมา เราก็จะไม่มีเงินมาใช้จ่ายในสิ่งที่มันจำเป็นกว่า

ยกตัวอย่างเช่น เราได้เงินเป็นของขวัญวันเกิด จากลุง 100 บาท เราคิดว่าจะเก็บไปลงทุน แต่บังเอิญเราติดหนี้เพื่อนอยู่ 100 บาท ถ้าเราเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนแล้วทำเนียนไม่จ่ายหนี้เพื่อน พอเพื่อนมาทวงปุ๊บเราคิดว่าจะไปถอนเงินที่ลงทุนไว้มาใช้หนี้เพื่อน

แต่ปรากฏว่าเงินที่ลงทุนไปขาดทุนหนัก จากที่ลงทุนไป 100 บาท เหลืออยู่ 5 บาทถ้วน ทำให้ไม่มีเงินมาใช้หนี้เพื่อนแถมยัง ต้องไปยืมเงินเพื่อนอีกคนมาใช้หนี้เพื่อนคนนี้อีก เพราะพลาดไปเอาเงินที่ต้องใช้หนี้มาลงทุน

ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือ เอาเงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากที่ผู้ปกครองให้ในแต่ละเดือนไปลงทุน แล้วค่อยเอากำไรที่ได้มาใช้จ่าย แบบนี้ก็ต้องระวังนะคะ หลักการของเคสนี้ คือได้เงินจากพ่อแม่เดือนละ 5,000 บาท แล้วเอาไปลงทุนครึ่งหนึ่งก็คือ 2,500 บาท

คิดกำไรเนาะ ๆ วันละ 1% ก็จะทำกำไรได้วันละ 25 บาท เดือนหนึ่งจะได้ 775 บาท รวม ๆ แล้วจะมีเงินเพิ่มเดือนละตั้ง 775 บาทแหนะ แต่เราลืมคิดไปว่าถ้ากองทุนหรือหุ้นที่เราลงทุนไปมันไม่บวก 1% ทุกวันล่ะ ?

ถ้ามันขาดทุนยาว ๆ ไปล่ะ ? แบบนี้เราจะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าวกิน ใช้จ่ายเวลาไปโรงเรียน… ก็ ช็ อ ต เลยซิทีนี้

แล้วเราจะเอาเงินส่วนไหนมาลงทุนดี ?

เงินร้อน : เงินที่ต้องใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวัน เช่น ค่ารถ ค่าอาหารต่อเดือน เงินค่าหอ เงินใช้หนี้ เงินออมเผื่อฉุกเฉิน เงินส่วนนี้ไม่ควรนำไปลงทุน

เงินเย็น : เงินเหลือเก็บสะสมไว้ไม่ได้ใช้อะไร เป็นเงินของเราจริง ๆ ไม่มีภาระต้องคืนใคร ไม่มีภาระต้องเอาไปจ่ายค่าอะไร

วางไว้เฉย ๆ หายไปก็ใช้ชีวิตได้ไม่เดือดร้อน (แค่เสียดายมาก ๆ) เงินส่วนนี้คือ เงินที่เหมาะจะนำไปลงทุน

ออมแบบไหน ให้ได้เงินเย็นมาลงทุนสำหรับคนงบน้อย

เก็บแบงค์ 20 ทุกวัน

หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินเทคนิค อย่างการเก็บแบงค์ 20 กันมาบ้าง เทคนิคนี้ถือได้ว่าเป็นอีกเทคนิคที่ทำได้ง่าย ถ้าเราเก็บแบงค์ 20 บาททุกวันเป็นเวลา 1 เดือน

เราจะเก็บเงินได้เดือนละ 600 บาท ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการซื้อกองทุนขั้นต่ำ ของหลาย ๆ กองทุน (กองทุนที่ลงทุนได้ตั้งแต่ 1 บาท)

แต่หากใครคิดว่ามันยากไปก็ให้ลองกำหนดเลข นำ โ ช ค ขึ้นมาสัก 1 ตัวเลข ถ้าเมื่อไหร่เจอแบงค์ 20 ที่ลงท้ายด้วยเลข นำ โ ช ค ของเราก็เก็บหมดห้ามใช้

เลือกเก็บเหรียญ

เวลากลับมาจากโรงเรียน เข้าบ้านแล้วเรียบร้อยให้เราเอาเหรียญที่เหลือ ในแต่ละวันมาเช็กดู บางคนอาจเลือกเก็บเหรียญ 5 บาท หรือเหรียญ 10 บาทก็ได้ค่ะ

แล้วหยอดเหรียญ 5 หรือเหรียญ 10 ใส่กระปุกเอาไว้ เก็บรวบรวมไว้ทุกวัน เป็นประจำให้กลายเป็นนิสัย แล้วนำเงินที่เก็บได้ในแต่ละเดือนไปลงทุนในเดือนถัดไปได้เลย

เก็บเงินตามวัน

เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่ไม่ยากเท่าไหร่ค่ะ แล้วก็ฮิตมาก ๆ ในโซเชียลมีเดีย นั่นก็คือวิธีการเก็บเงินตามวันที่ไล่เรียงตั้งแต่วันที่ 1-30 เพิ่มขึ้นวันละบาท

เช่น วันที่ 1 หยอด 1 บาท วันที่ 2 หยอด 2 บาท ไปจนถึงวันที่ 30 เราจะได้เงินลงทุนทั้งหมด 465 บาท ซึ่งแน่นอนว่า 465 บาทก็เพียงพอ ต่อการซื้อกองทุนขั้นต่ำของบางกองทุนได้แล้ว

ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

วิธีนี้จะได้ผลดีสำหรับสายกินเก่ง และช้อปปิ้งบ่อย บางคนจะสั่งน้ำหวานหรือขนมหวานทุกวันใช่ไหมคะ ? วิธีเก็บเงินมาลงทุนง่าย ๆ ก็คือให้เรางดซื้อน้ำหวานวันละแก้วหรือลดการซื้อให้น้อยลง

สมมติว่าน้ำหวานแก้วละ 25 บาท เราไม่กินเลย 30 วัน เราก็จะเก็บเงินไปลงทุนได้ทั้งหมด 750 บาท ซึ่งเพียงพอ ต่อการซื้อกองทุนขั้นต่ำบางกองทุน แค่ต้องสะกดจิตตัวเองให้อดทนต่อความอยากกินให้ได้

หรือบางคนเป็นสายช้อปปิ้ง ก็อาจจะต้องลดการ CF ไว โ อ น เร็วลงบ้าง แต่วิธีนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับบางคน อย่างไรก็อยากให้ลองปรับใช้ดูและหาวิธีออมเงินเพื่อลงทุนที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองดู

ขอขอบคุณ p l o o k f r i e n d s

Load More Related Articles
Load More By wansuk
Load More In ข้อคิด

Check Also

เจ้านาย 8 แบบนี้ ที่ไม่ควรเป็นหัวหน้าคน

1.เจ้านาย ทรงอำนาจ เจ้านายประเภทนี้ จะดีแต่ออกคำสั่ง มักแสดงพฤติกรรม การใช้อำนาจขณะทำงานหร…